จากฟื้นฟู สู่ฟ้องร้อง! เปิดจุดวัดใจ "การบินไทย" ปี 2569 น่าซื้อ หรือ ถอย ?
การบินไทยเหมือนจะกลับมาบินได้มั่นคง แต่มติแต่งตั้งบอร์ดใหม่ 9 คนถูกฟ้องศาลแพ่งนำไปสู่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ล่าสุด THAI เดินเกมเร็ว ยื่นศาลขอยกเลิกคำสั่งแบบด่วน นักวิเคราะห์เตือนหากบอร์ดยังทำงานไม่ครบอาจกระทบความสามารถการแข่งขันปี 2569
KEY
POINTS
- "บมจ.การบินไทย(THAI)" เหมือนจะกลับมาบินได้อย่างมั่นคง แต่ศึกในห้องประชุมผู้ถือหุ้นยังไม่จบ
- เมื่อมติแต่งตั้งบอร์ดใหม่ 9 คนถูกผู้ถือหุ้นฟ้องศาลแพ่ง จนนำไปสู่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ล่าสุด THAI ยื่นศาลขอยกเลิกคำสั่งแบบด่วน
- นักวิเคราะห์เตือนหากบอร์ดยังทำงานไม่ครบอาจกระทบการจัดหาเครื่องบินใหม่ เส้นทางบิน และความสามารถแข่งขันปี 2569
เส้นทางดราม่ายังอีกยาวไกล!
นับตั้งแต่ออกจากแผนฟื้นฟู "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI" โหนกระแสข่าวร้อนแบบไม่พัก เริ่มตั้งแต่คำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ ตลอดจนดราม่าก่อนและหลังประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจําปี 2568 วันที่ 19 ธันวาคม 2568
โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าวได้พิจารณาระเบียบวาระการประชุมและมีมติอนุมัติเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ทุกฝ่ายจับจ้องนั่นก็คือการแต่งตั้งกรรมการบริษัท(บอร์ด)ใหม่เพิ่มอีก 9 คน จากเดิมมี 11 คน เพิ่มเป็น 15 คน แน่นอนว่าบุคคลที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกระทรวงการคลัง
ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่แล้วมีผู้ถือหุ้น THAI จํานวน 5 คน ได้ยื่นฟ้องบริษัทเป็นจําเลยต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจําปี 2568 โดยศาลได้มีคําสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยมีคำสั่งให้นายทะเบียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ รวมถึงห้ามกรรมการชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ส่งผลให้คณะกรรมการชุดเดิม (11 คน) ยังคงมีอำนาจบริหารบริษัทเป็นการชั่วคราว
ล่าสุดในวันนี้ (25 ธ.ค.2568) การบินไทยได้ยื่นคําขอให้ศาลยกเลิกคําสั่งคุ้มครองชั่วคราว ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 23 ธันวาคม 2568 และคําร้องขอให้ศาลไต่สวนคําร้องขอยกเลิกคําสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยพลันเป็นการด่วน
นักวิเคราะห์ บล.พาย เปิดใจกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ประเด็นการฟ้องร้องดังกล่าวข้างต้น มองผลกระทบคือการพิจารณาเรื่องต่างๆ อาจจะล่าช้าออกไปอีกเพราะคณะกรรมการที่เหลือเพียง 6 คนอาจไม่เพียงพอตามที่ทางบริษัทเคยให้เหตุผลในการเพิ่มคณะกรรมการไว้
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการพิจารณาฝูงบินใหม่ส่วนใหญ่เป็นลำตัวกว้างประมาณ 7-10 ลำ เพื่อมาทดแทนเครื่องที่จะครบสัญญาในปี 2569 หากการอนุมัติล่าช้าอาจกระทบต่อการขยายเส้นทางบิน (Route) ในอนาคต หรือแม้แต่กระทบต่อเส้นทางปัจจุบันจากข้อจำกัดด้านจำนวนเครื่องบิน
ส่วนเครื่องบินที่อนุมัติก่อนหน้านี้ที่เคยเป็นข่าว 30-80 ลำจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเป็นแผนระยะยาวที่จะรับเครื่องในปี 2570-2571 ส่วนเครื่องบินรุ่น A321 ลำตัวแคบนั้นเป็นสัญญาเดิมที่เซ็นต์ไว้นานแล้วและกำลังทยอยรับเข้ามา หากแต่ในแง่การบริหารงานอื่นๆคาดว่าจะไม่มีผลกระทบ
หากพิจารณาข้อโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลรองรับ โดยฝ่ายผู้ยื่นฟ้องให้เหตุผลว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บริษัทจำเป็นต้องจัดประชุมผู้ถือหุ้นภายในกรอบเวลาหลังปิดงบการเงิน โดยในกรณีปี 2568 ควรอยู่ราวเดือนเมษายน 2569 แต่การบินไทยกลับจัดประชุมในเดือนธันวาคม 2568 จึงตั้งข้อสงสัยว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย
ขณะที่การบินไทยชี้แจงว่า การประชุมก่อนหน้านั้นเป็นการประชุมภายใต้บริบทของแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งยังไม่ใช่การประชุมผู้ถือหุ้นเต็มรูปแบบ จึงเห็นว่าการจัดประชุมในครั้งล่าสุดเป็นคนละกรณีกัน
ดังนั้นคำตอบสุดท้าย คือ ต้องรอศาลฯพิจารณาเท่านั้น!
"ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คณะกรรมการที่เหลืออยู่ 6 คน จะสามารถอนุมัติแผนดังกล่าวได้หรือไม่ หากสามารถอนุมัติได้ก็จะไม่เกิดผลกระทบ แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากปัญหาองค์ประชุม อาจต้องรอการประชุมผู้ถือหุ้นตามรอบปกติในเดือนเมษายน 2569 ซึ่งหมายถึงความล่าช้าอย่างน้อย 4 เดือน"
อย่างไรก็ดี ความกังวลของนักลงทุนไม่ได้อยู่ที่รายชื่อกรรมการใหม่เป็นรายบุคคล เนื่องจากหลายท่านมีประสบการณ์และพื้นฐานด้านการเงินที่แข็งแกร่ง แต่คือโครงสร้างการตัดสินใจ เนื่องด้วยธุรกิจการบินเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็ว
หากกระบวนการพิจารณาต้องผ่านหลายขั้นตอน อาจทำให้เสียจังหวะทางการแข่งขันได้ ดังนั้นสิ่งที่คาดหวังคือ บอร์ดการบินไทยจะทำหน้าที่กำหนดทิศทางเชิงนโยบาย และเปิดทางให้ฝ่ายบริหารมืออาชีพดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว
ยึดหลักธุรกิจ-เดินตามแผนฟื้นฟู
อยากฝากคณะกรรมการชุดใหม่ 2 เรื่องคือ "บริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ" และ "ยึดตามแผนฟื้นฟูกิจการที่วางไว้" โดยเฉพาะการลดประเภทเครื่องบิน เพื่อลดต้นทุนซ่อมบำรุงและความซับซ้อนในการบริหารฝูงบิน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของการบินไทยกลับมามีกำไรในช่วงที่ผ่านมา
"กำไรที่เห็นในปัจจุบันยังได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยชั่วคราว ทั้งการผ่อนปรนจากเจ้าหนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับเอื้ออำนวย และการฟื้นตัวของตลาดยุโรป ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยถาวรในระยะยาว ดังนั้นอยากให้ทำตามแผนเดิมไปก่อน"
สิ่งที่รออยู่ปี 2569 จุดทดสอบเชื่อมั่น
ความเสี่ยงอีกประการ คือ นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2569 กลุ่มเจ้าหนี้ที่แปลงหนี้เป็นทุน คาดต้นทุนประมาณ 3 บาทต้นๆจะสามารถขายหุ้นได้ ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นสูงกว่าต้นทุนกว่าเท่าตัวจึงอาจมีแรงกดดันราคาหุ้นได้เช่นกัน
แต่หากการบินไทยสามารถพิสูจน์ได้ว่าผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง และสมมุติว่าสามารถจ่ายปันผลได้ ยกตัวอย่างเช่นสมมุติปันผลราว 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 10% สำหรับเจ้าหนี้ที่ทุนต่ำ เป็นต้น อาจจะช่วยจูงใจเจ้าหนี้ไม่ให้รีบขายหุ้นออกมาก็เป็นได้
"หากราคาหุ้น THAI ปรับตัวลดลงไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรหากลงมาแถว 8 บาทต้นๆมองว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ เราให้ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท บน P/E 9.6 เท่า ถามว่ามีโอกาสราคาต่ำกว่าต้นทุนเจ้าหนี้หรือไม่ มองว่าไม่น่าลงแรงแบบนั้น ยกเว้นเกิดเหตุการณ์ที่หนักหน่วง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังมองไม่เห็น"
ถามว่า โอกาสสร้างรายได้ THAI เติบโตแค่ไหน ?
แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะเห็นกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2568 จากการเข้าสู่ช่วง High Seasons ของภาคการท่องเที่ยว แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ต้องติดตามผู้โดยสารในเดือน พ.ย. – ธ.ค. ว่าจะเป็นเช่นใด ปัจจัยบวกที่ยังอยู่คือราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าทั้งปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า
โดยตัวเลขผู้โดยสารของการบินไทยในเดือน ต.ค.2568 อยู่ที่ 1.393 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY)และเพิ่มขึ้น 15% จากเดือนก่อนหน้า(MoM) กลับมาเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนได้อีกครั้ง หลังจากลดลงในเดือน ก.ค.-ก.ย.2568 โดยเส้นทางที่เติบโตดีขึ้นได้แก่ภูมิภาคยุโรปที่เพิ่มขึ้นถึง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 5%จากเดือนก่อนหน้า
สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน ต.ค. ที่นักท่องเที่ยวยุโรปเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 57% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนเส้นทางที่ลดลงคือเส้นทางในประเทศ -8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 22% จากเดือนก่อนหน้า คาดว่าเกิดจากการแข่งขันที่มากขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางที่ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ด้านอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) อยู่ที่ 77.9% ดีขึ้นจาก 77% ในเดือน ต.ค.2567 และ 73.8% ในเดือน ก.ย.2568 โดยมีเพียงเส้นทางทวีปออสเตรเลียที่มีอัตราบรรทุกลดลง ส่วนเส้นทางอื่นเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในประเทศที่แม้ผู้โดยสารจะลดลงแต่กลับมีระดับการบรรทุกผู้โดยสารสูงถึง 91.6%
โดยปริมาณการผลิต (ASK) อยู่ที่ 6,019 ล้านกิโลเมตรที่นั่ง เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากเดือนก่อน ขณะที่การขนส่งอยู่ที่ (RPK) อยู่ที่ 4,687 ล้านกิโลเมตรผู้โดยสาร เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11% จากเดือนก่อนหน้า
ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรทั้งปี 2568 ซึ่งรวมรายการพิเศษไว้ที่ 36,345 ล้านบาท แต่หากหักรายการพิเศษออกจะมีกำไรปกติที่ 32,213 ล้านบาท รวมแล้วยังคงคำแนะนำซื้อเช่นเดิมและประเมินมูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 10.1 บาท P/Eปี 2569 ที่ 9.6 เท่า
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2569 คาดการณ์กำไรอาจลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 25,000 - 30,000 ล้านบาท หรือราว 27,000 - 28,000 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น.


