เลือกตั้ง 2569 ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย! หุ้นไทย "ฟื้นจริง" หรือรีบาวด์ชั่วคราว ?
การเลือกตั้งใหม่อาจเป็นจุดเริ่มต้นความหวังแต่ในสายตานักลงทุนต่างชาติ "ผลเลือกตั้ง" ไม่สำคัญเท่า "สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเลือกตั้ง" นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ตลาดเชื่อมั่นแน่หากรัฐบาลตั้งได้เร็ว ทีมเศรษฐกิจน่าเชื่อถือและนโยบายเดินหน้าได้จริง พร้อมจัดอันดับ "หุ้นดาวเด่น-กลุ่มเสี่ยง" ตอบโจทย์นักลงทุน
KEY
POINTS
- การเลือกตั้งใหม่อาจเป็นจุดเริ่มต้นความหวังแต่ในสายตานักลงทุนต่างชาติ "ผลเลือกตั้ง" ไม่สำคัญเท่า "สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเลือกตั้ง"
- บล.บัวหลวง ชี้ตลาดเชื่อมั่นแน่หากรัฐบาลตั้งได้เร็ว ทีมเศรษฐกิจน่าเชื่อถือและนโยบายเดินหน้าได้จริง
- พร้อมจัดอันดับ "หุ้นดาวเด่น-กลุ่มเสี่ยง" ตอบโจทย์นักลงทุน
ก่อนการเลือกตั้ง ทุกสายตาในตลาดทุนเหมือนกำลังจับจ้องไปที่ "วันข้างหน้า" มากกว่าวันลงคะแนน!
เงินทุนต่างชาติยังไม่ขยับเข้ามาเต็มตัว ไม่ใช่เพราะไม่สนใจผลเลือกตั้ง แต่เพราะกำลังรอดูว่า...หลังม่านการเมืองเปิดออกแล้ว ประเทศไทยจะเดินไปในทิศทางใด ?
ในช่วงเวลาที่ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวด้วยความคาดหวังพอๆกับความกังวล คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ใครจะเป็นรัฐบาลใหม่ แต่คือ...
- รัฐบาลชุดนั้นจะตั้งได้เร็วแค่ไหน ?
- มีทีมเศรษฐกิจที่นักลงทุน "เชื่อมือ" หรือไม่ ?
- และนโยบายที่ประกาศจะถูกแปลงเป็นการลงมือทำจริงได้หรือเปล่า ?
จากมุมมองของนักลงทุนทั่วโลก การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่จุดจบของความไม่แน่นอน หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบททดสอบความน่าเชื่อถือเชิงนโยบายไทย บททดสอบที่อาจชี้ชะตาทิศทางเงินทุนและตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป
"พิริยพล คงวาณิช" นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน ฝ่าย Wealth research บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เผยกับ "โพสต์ทูเดย์" ถอดรหัสสัญญาณที่ตลาดกำลังรอ
และชี้ให้เห็นว่า อะไรคือเงื่อนไขจริงที่ทำให้ความเชื่อมั่น "ฟื้น" ได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่รีบาวด์ระยะสั้น
การเลือกตั้งครั้งนี้มีโอกาสช่วยฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติได้ แต่จะเป็นการฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การกลับเข้ามาลงทุนครั้งใหญ่ในทันที เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้พิจารณาเพียงผลการเลือกตั้ง แต่ให้ความสำคัญกับ "เสถียรภาพหลังเลือกตั้ง" และ "ความสามารถในการผลักดันนโยบายจริง" เป็นหลัก
สัญญาณสำคัญที่ตลาดต้องเห็น คือ
- การจัดตั้งรัฐบาลที่รวดเร็วและมีเสถียรภาพ
- การแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจที่มีความน่าเชื่อถือ
- การประกาศแผนการคลังที่มีกรอบเวลาและตัวเลขชัดเจน
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติจะให้ความสำคัญอย่างมากกับความต่อเนื่องของนโยบายระยะยาว โดยเฉพาะนโยบายดึงดูดการลงทุนและโครงสร้างเศรษฐกิจ หากรัฐบาลใหม่สามารถลดความไม่แน่นอนเชิงนโยบายและแสดงให้เห็นว่าการดำเนินงานเดินหน้าได้จริง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มฟื้น โดยมักเริ่มจากการเลือกลงทุนเฉพาะบางกลุ่มก่อน
หลังเลือกตั้ง 2569 คาดหวัง SET Index ตอบสนองแบบไหนใน 3 เดือนแรก ?
ในช่วง 3 เดือนแรกปี 2569 หลังการเลือกตั้ง "ตลาดหุ้นไทย" มีแนวโน้มตอบสนองเชิงบวกในลักษณะของการฟื้นตัวจากความคาดหวัง เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวดังกล่าวจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่รัฐบาลใหม่สามารถเปลี่ยน "ความคาดหวัง" ให้กลายเป็น "การดำเนินนโยบายจริง" ได้มากน้อยเพียงใด หากตลาดรับรู้ว่านโยบายยังอยู่ในระดับแนวคิดหรือมีความล่าช้าในการปฏิบัติ ดัชนีมีโอกาสกลับมาแกว่งตัวในกรอบจำกัด
ปัจจัยที่กำหนดทิศทางตลาดมากที่สุดคือ "ทีมเศรษฐกิจ" และแผนการคลังที่ชัดเจน เพราะสองปัจจัยนี้มีผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน
ขณะที่ ตลาดจะให้น้ำหนักรองลงมากับโผคณะรัฐมนตรีโดยรวม รายชื่อรัฐมนตรี อาจมีความสำคัญในเชิงเสถียรภาพมากกว่า
โดยสรุป ตลาดจะตอบสนองเชิงบวก หากเห็นว่านโยบายสามารถเดินหน้าได้จริงในกรอบเวลาที่ชัดเจน ภายใต้การเมืองที่มีเสถียรภาพ
หุ้นกลุ่มไหน "ได้ประโยชน์ vs ความเสี่ยง" จากรัฐบาลใหม่ ?
ในมุมมองเชิงกลยุทธ์ อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้ม "ได้ประโยชน์ชัดเจน" จากความต่อเนื่องทางนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ คือกลุ่มที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศระยะยาวและเมกะเทรนด์โลก
โดยให้น้ำหนักกับ "อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง" เป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ของ BOI และเป็นแกนสำคัญในการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
รองลงมาคือ "พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีสะอาด" ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเป้าหมาย Net Zero และกระแส ESG ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน กลุ่มที่ต้องระมัดระวัง คือ อุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น "อสังหาริมทรัพย์" ที่ถูกกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูงและกำลังซื้อที่อ่อนแรง
รวมถึง อุตสาหกรรมดั้งเดิม อย่าง "สิ่งทอและการผลิตแบบ labor-intensive" ซึ่งยังสร้างมูลค่าเพิ่มต่ำ เผชิญการแข่งขันรุนแรงจากสินค้าจีนราคาถูก และมีต้นทุนสูงในการปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่
4 นโยบายที่น่าจับตามากที่สุดระหว่าง EEC-ดิจิทัลวอลเล็ต-ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน-ปรับโครงสร้างพลังงาน ?
นโยบายที่นักลงทุนควรจับตาความต่อเนื่องมากสุด คือ "การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน" ควบคู่กับ "การปรับโครงสร้างพลังงาน" เพราะสองสิ่งนี้ทำหน้าที่เป็น ตัวคูณผลิตภาพ (Productivity Multiplier) และเป็นต้นทุนพื้นฐานของทุกอุตสาหกรรม
ส่วน EEC นั้นก็สำคัญเช่นกัน แต่จะสำเร็จได้ต้องพึ่งพาความเร็วในการอนุมัติ การสนับสนุนผลักดันอย่างจริงจังอย่างต่อเนื่อง และ ความมั่นคงทางพลังงานข้างต้นมาหนุน
ในขณะที่ นโยบายกระตุ้นระยะสั้น อย่าง ดิจิทัลวอลเล็ต แม้จะเห็นผลเร็ว แต่หากไม่ผูกกับกรอบวินัยการคลังที่รัดกุมก็จะกลายเป็นปัจจัยกดดันต่อความเชื่อมั่นในระยะยาวทันที
ประเมิน "ความน่าเชื่อถือเชิงนโยบายไทย" จากสายตานักลงทุนทั่วโลก
จากมุมมองของนักลงทุนทั่วโลก ให้คะแนนความน่าเชื่อถือเชิงนโยบายของไทยที่ประมาณ 7 จาก 10 คะแนน ซึ่งสะท้อนว่าไทยยังมีจุดแข็งที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงาน
รวมถึงภาคการท่องเที่ยวและฐานการผลิตในอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์บางส่วน และอาหาร ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังมองไทยเป็นประเทศที่ "ลงทุนได้" และมีความคุ้นเคยในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม คะแนนยังไม่สูงกว่านี้ เนื่องจากในอดีตนโยบายเศรษฐกิจมักขาดความต่อเนื่องเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล และการดำเนินนโยบายจริงมักล่าช้ากว่าที่ประกาศไว้
อีกทั้งความเสี่ยงทางการเมืองในระยะสั้นจากวงจรการเมืองที่ค่อนข้างสั้นและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง ส่งผลให้โครงการลงทุนต้องถูกทบทวนใหม่อยู่เสมอ หรือเกิดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนนโยบาย (policy reversal risk) ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติในการตัดสินใจลงทุนระยะยาว
นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การขาดแคลนทักษะแรงงาน และประสิทธิภาพของภาครัฐในกระบวนการอนุมัติโครงการบางส่วน ยังเป็นโจทย์ที่ต้องเร่งแก้ไข
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาความชัดเจนของกรอบการคลังในระยะกลาง และต้องการเห็นวินัยทางการคลังและการจัดลำดับความสำคัญของโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
หากรัฐบาลใหม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของนโยบาย การขับเคลื่อนโครงการได้จริง และความชัดเจนด้านการคลังภายในช่วง 2–3 เดือนแรกหลังเลือกตั้ง คะแนนความเชื่อมั่นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ.


