posttoday

เช็คลิสต์! FTSE ธันวาคม 'THAI' ผงาด Large Cap - 'AWC' ย้ายบ้าน - 'SCCC' ติดสปีดรับสัญญาณโตยาว

09 ธันวาคม 2568

ทบทวนใหญ่ FTSE SET Index สร้างแรงสั่นสะเทือน หุ้นบินไทยทะยานกลับเข้า Large Cap ครั้งประวัติศาสตร์ ขณะที่ AWC–SCCC ขยับตำแหน่งใหม่ท่ามกลางแรงกดดันตลาด พร้อมสัญญาณกำไรปี 2026 อาจเปลี่ยนเกม

KEY

POINTS

  • ทบทวนใหญ่ FTSE SET Index สร้างแรงสั่นสะเทือน
  • หุ้นการบินไทย ทะยานกลับเข้า Large Cap ครั้งประวัติศาสตร์
  • ขณะที่ AWC–SCCC ขยับตำแหน่งใหม่ท่ามกลางแรงกดดันตลาด พร้อมสัญญาณกำไรปี 2026 อาจเปลี่ยนเกม

ปลายปีทีไร ตลาดทุนไทยมักมีแรงสั่นสะเทือนเงียบที่นักลงทุนตัวจริงรู้ดี ไม่ใช่ข่าวลือ ไม่ใช่ดราม่าการเมือง แต่เป็นฤดูกาลทบทวนดัชนี FTSE ที่สามารถเปลี่ยนชะตาหุ้นทั้งกระดานในชั่วข้ามคืน

ปีนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่แรงกว่าเดิม…เพราะชื่อที่ถูกประกาศ ทำให้ทั้งวงการต้องหันมามอง

  • THAI หุ้นที่เคยถูกมองข้าม กลับบินสวนกระแสจนถูกดึงขึ้นสู่ Large Cap
  • AWC ย้ายบ้านกลางตลาด ไปโผล่ใน Mid Cap หลังโครงสร้างธุรกิจแข็งแรงขึ้น
  • SCCC ถูกดันเข้าลิสต์ใหม่ พร้อมรายงานกำไร-การลงทุนที่ชี้ว่าปี 2026 อาจเป็นจุดกลับตัวครั้งใหญ่

การเข้าและออกดัชนี ไม่ได้เป็นแค่ "เช็กลิสต์รายชื่อ" แต่คือ เม็ดเงินกองทุนที่โยกย้าย เส้นทางราคาใหม่ และสัญญาณเชิงลึกที่บอกอนาคตของธุรกิจ ทั้งหมดนั้นกำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน!

  • ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI" ปิดการซื้อขายเช้าวันนี้ (9 ธ.ค.68) อยู่ที่ 8.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท คิดเป็น +0.60% มูลค่าการซื้อขาย 72.06 ล้านบาท
  • หุ้น "บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC" ปิดที่ 2 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 9.54 ล้านบาท
  • หุ้น "บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC" ปิดที่ 142 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 0.77 ล้านบาท
  • หุ้น "บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP" ปิดที่ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท คิดเป็น +1.75% มูลค่าการซื้อขาย 11.94 ล้านบาท
  • หุ้น "บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK" ปิดที่ 14.80 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 0.62 ล้านบาท

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป สรุปได้ดังนี้

  • ดัชนี FTSE SET Large Cap Index มี 1 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ บมจ. การบินไทย (THAI)

หลักทรัพย์ที่ออก มี 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)

  • ดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มี 2 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) และ บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC)

หลักทรัพย์ที่ออกมี 6 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL), บมจ. พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL), บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH), บมจ. ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP), บมจ. สเตคอน กรุ๊ป (STECON), บมจ. ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM)

  • ดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 10 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC), บมจ. บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) บมจ. ซีเค พาวเวอร์ (CKP), ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต (INETREIT), บมจ. เน็กซ์ พอยท์ (NEX), บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC), บมจ. เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI), บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) บมจ. ยูนิวานิชน้ํามันปาล์ม (UVAN)

หลักทรัพย์ที่ออก มี 9 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI), บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC), บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH), บมจ.โรแยล พลัส (PLUS), บมจ.สามารถเทลคอม (SAMTEL), บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT), บมจ.ศุภาลัย (SPALI), บมจ.ทิปโก้ฟูดส์ (TIPCO)

เช็คลิสต์! FTSE ธันวาคม 'THAI' ผงาด Large Cap - 'AWC' ย้ายบ้าน - 'SCCC' ติดสปีดรับสัญญาณโตยาว

THAI แนวโน้มโค้ง 4/68 และปี 2026 แข็งแกร่ง

บล.บัวหลวง ระบุว่า THAI รายงานกำไรหลักไตรมาส 3/68 ที่ 5,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 307% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ราคาน้ำมันลดลง, ค่าซ่อมแซมลดลง อย่างไรก็ตามจำนวนผู้โดยสารลดลง -1% YoY เป็น 3.90 ล้านคน, รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (passenger yield) ลดลง -8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็น 2.61 บาท/คน-กม.

เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และรายได้จากพัสดุภัณฑ์เฉลี่ยต่อหน่วย (freight yield) ลดลง -11% YoY เป็น 8.39 บาท/ตัน-กม. ขณะที่กำไรหลักไตรมาส 3/68 ลดลง 20% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตามทิศทางฤดูกาล

แนวโน้มไตรมาส 4/68 จากการประเมินเบื้องต้น มีแนวโน้มเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย และปรับกลยุทธ์การขาย (เน้นขายเป็น network) ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและ passenger yield สูงขึ้น อย่างไรก็ตามอาจมีการบันทึก impairment loss ของเครื่องบินเข้ามาในงบการเงินไตรมาส 4/68

ส่วนปี 2026 การเติบโตจะมาจากปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่ม จากทยอยรับเครื่องใหม่ บนสมมติฐานที่สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ และอาจมีอัพไซด์หากมีการเช่าเครื่องบินเพิ่มเติม (คาดเห็นความชัดเจนภายในปลายปีนี้) ในขณะที่คาดว่ารายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยจะทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2025 ที่ราว 2.78 บาท/คน-กม.

ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา Consensus ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ของ THAI ขึ้น 23% มาอยู่ที่ 3.44 หมื่นล้านบาท และทำประมาณการกำไรปี 2026 ที่ 2.91 หมื่นล้านบาท ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

ปัจจุบัน THAI จะซื้อขายที่ PER ปี 2026 ที่ 7.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินในภูมิภาคเอเชียที่ 14.9 เท่าอยู่ 47% ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป.

ธุรกิจโรงแรม-คอมเมอร์เชียล หนุนกำไร AWC 

บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์คงคาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานของ AWC ในปี 68 ราว 16,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ผลจากการรับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ เช่น โรงแรมมีเลีย พัทยา โรงแรมพัทยาแมริออท รีสอร์ต แอนด์สปา

โรงแรมเจดับบลิวแมริออทแบงก์ค็อกรัชดา จูบิลี่ เพรสทีจ ทาวน์เวอร์ และ Jurassic World : The Experience ที่มีผู้เข้าชมเฉลี่ย 2.2 พันคน/วัน ซึ่งช่วยทำให้จำนวนผู้เดินทางมาที่เอเชียทีค เดอะ ริ-เวอร์ฟร้อนท์ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Occ. rate และค่าเช่าปรับตัวขึ้น

คงสมมติฐาน%EBITDA ที่ระดับ 37.2% เพิ่มขึ้นจากระดับ 36.5% ในปี 67 จากความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เราคงคาดการณ์กำไรหลัก จำนวน 1,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ช่วง 9 เดือนปี68 กำไรหลักคิดเป็น 64% ของประมาณการทั้งปี 68

ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสม AWC ปี 69 ด้วยวิธี DCF อิง WACC ที่ 6.9% และ Terminal Growth ที่ 3% คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 69 เท่ากับ 2.40 บาท จากเดิมปี 68 ที่ 2.33 บาท คิดเป็น P/E ปี 69 ที่ 31 เท่า ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในปี 69 ราว 3.9% ต่อปี ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำซื้อ

SCCC ผลงานดีต่อเนื่อง

บล.ทิสโก้ คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/68 จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวหลังฤดูฝนและการฟื้นตัวหลังน้ำท่วม ราคาปูนซีเมนต์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งและการดำเนินงานในต่างประเทศที่ดีขึ้นจะผลักดันผลประกอบการ

ขณะที่ความต้องการที่ขับเคลื่อนโดยโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นปัจจัยหนุนปริมาณปูนซีเมนต์ประเภท bulk แม้ว่ากิจกรรมภาคเอกชนจะซบเซา เวียดนาม ศรีลังกา และกัมพูชา อยู่ในสถานะที่พร้อมสำหรับการเติบโตของปริมาณ แม้ว่าแรงกดดันด้านราคาจะยังคงมีอยู่ในบางตลาด การบริหารจัดการต้นทุนเชิงกลยุทธ์ และแผนงานด้านประสิทธิภาพน่าจะช่วยรักษาอัตรากำไรในทุกภูมิภาค

แนวโน้มปี 2026 การเติบโตของกำไรจะได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของปริมาณในเวียดนาม ศรีลังกา และกัมพูชา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานและสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่มีเสถียรภาพ

นอกจากนี้ การปรับปรุงราคาปูนซีเมนต์ในประเทศไทยและเวียดนามจะช่วยเพิ่มอัตรากำไร สำหรับประเทศไทย การขึ้นราคาในเดือนมีนาคมจะเริ่มส่งผลดีต่อโครงการภาครัฐใหม่ๆ ซึ่งโดยปกติจะล็อกราคาไว้ตลอดระยะเวลาโครงการ ราคาของเวียดนามน่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกันเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งนำโดยการลงทุนของภาครัฐ

ปัจจัยขับเคลื่อนกำไรระยะยาว SCCC วางแผนที่จะลงทุน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโรงงานผลิตปูนเม็ดแห่งที่สองในเวียดนาม ซึ่งมีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในต้นปี 2028 การลงทุนนี้จะช่วยแก้ปัญหาช่องว่างทางโครงสร้าง โดยปัจจุบันกำลังการผลิตปูนเม็ดรองรับได้เพียง 3 ล้านตันต่อปี

ขณะที่ยอดขายปูนซีเมนต์คาดการณ์ไว้ที่ 4.5-4.6 ล้านตันในปีหน้า ส่งผลให้ต้องซื้อปูนเม็ดจากเวียดนามเหนือซึ่งมีต้นทุนสูง เมื่อเปิดดำเนินการแล้ว โรงงานแห่งใหม่น่าจะช่วยเพิ่มกำไรได้ 12-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดการพึ่งพาปูนเม็ดจากภายนอก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

โครงการพลังงานหมุนเวียน อย่าง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ INSEE B.Grimm กำลังผลิต 84 เมกะวัตต์ (MW) ก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเริ่ม COD กำลังการผลิต 24 เมกะวัตต์ในไตรมาส 3/68 ตามด้วย 8 เมกะวัตต์ในเดือนพฤศจิกายน และส่วนที่เหลือรอการอนุมัติจาก ERC เมื่อเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ โรงไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าได้ 117 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี และประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 360 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ EBITDA margin แข็งแกร่งขึ้น

มูลค่ายังคงน่าสนใจที่อัตราส่วน PER ปี 2025F ที่ 10.6 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 7.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายที่ 195 บาท อ้างอิงจากอัตราส่วน PER ปกติที่ 14.7 เท่า

แนวโน้มเชิงบวกสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง การปรับขึ้นราคาในระดับปานกลาง และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สนับสนุนการเติบโตระยะยาว ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความต้องการที่อ่อนแอกว่าที่คาด ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นในตลาดภูมิภาค เงินสดสำรองที่แข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ดีขึ้น และแผน CAPEX ช่วยเสริมความมั่นใจต่อผลประกอบการในอนาคต.

ข่าวล่าสุด

แท็กซี่ไร้คนขับ Baidu ประสบอุบัติเหตุ ทำคนเข้าไอซียู 2 รายในจีน