เช็คลิสต์! FTSE ธันวาคม 'THAI' ผงาด Large Cap - 'AWC' ย้ายบ้าน - 'SCCC' ติดสปีดรับสัญญาณโตยาว
ทบทวนใหญ่ FTSE SET Index สร้างแรงสั่นสะเทือน หุ้นบินไทยทะยานกลับเข้า Large Cap ครั้งประวัติศาสตร์ ขณะที่ AWC–SCCC ขยับตำแหน่งใหม่ท่ามกลางแรงกดดันตลาด พร้อมสัญญาณกำไรปี 2026 อาจเปลี่ยนเกม
KEY
POINTS
- ทบทวนใหญ่ FTSE SET Index สร้างแรงสั่นสะเทือน
- หุ้นการบินไทย ทะยานกลับเข้า Large Cap ครั้งประวัติศาสตร์
- ขณะที่ AWC–SCCC ขยับตำแหน่งใหม่ท่ามกลางแรงกดดันตลาด พร้อมสัญญาณกำไรปี 2026 อาจเปลี่ยนเกม
ปลายปีทีไร ตลาดทุนไทยมักมีแรงสั่นสะเทือนเงียบที่นักลงทุนตัวจริงรู้ดี ไม่ใช่ข่าวลือ ไม่ใช่ดราม่าการเมือง แต่เป็นฤดูกาลทบทวนดัชนี FTSE ที่สามารถเปลี่ยนชะตาหุ้นทั้งกระดานในชั่วข้ามคืน
ปีนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่แรงกว่าเดิม…เพราะชื่อที่ถูกประกาศ ทำให้ทั้งวงการต้องหันมามอง
- THAI หุ้นที่เคยถูกมองข้าม กลับบินสวนกระแสจนถูกดึงขึ้นสู่ Large Cap
- AWC ย้ายบ้านกลางตลาด ไปโผล่ใน Mid Cap หลังโครงสร้างธุรกิจแข็งแรงขึ้น
- SCCC ถูกดันเข้าลิสต์ใหม่ พร้อมรายงานกำไร-การลงทุนที่ชี้ว่าปี 2026 อาจเป็นจุดกลับตัวครั้งใหญ่
การเข้าและออกดัชนี ไม่ได้เป็นแค่ "เช็กลิสต์รายชื่อ" แต่คือ เม็ดเงินกองทุนที่โยกย้าย เส้นทางราคาใหม่ และสัญญาณเชิงลึกที่บอกอนาคตของธุรกิจ ทั้งหมดนั้นกำลังเกิดขึ้นพร้อมกัน!
- ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI" ปิดการซื้อขายเช้าวันนี้ (9 ธ.ค.68) อยู่ที่ 8.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท คิดเป็น +0.60% มูลค่าการซื้อขาย 72.06 ล้านบาท
- หุ้น "บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC" ปิดที่ 2 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 9.54 ล้านบาท
- หุ้น "บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC" ปิดที่ 142 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 0.77 ล้านบาท
- หุ้น "บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP" ปิดที่ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท คิดเป็น +1.75% มูลค่าการซื้อขาย 11.94 ล้านบาท
- หุ้น "บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK" ปิดที่ 14.80 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 0.62 ล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณ FTSE SET Index Series มีผลวันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป สรุปได้ดังนี้
- ดัชนี FTSE SET Large Cap Index มี 1 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ บมจ. การบินไทย (THAI)
หลักทรัพย์ที่ออก มี 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)
- ดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มี 2 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) และ บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC)
หลักทรัพย์ที่ออกมี 6 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL), บมจ. พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL), บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH), บมจ. ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP), บมจ. สเตคอน กรุ๊ป (STECON), บมจ. ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM)
- ดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 10 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC), บมจ. บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) บมจ. ซีเค พาวเวอร์ (CKP), ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต (INETREIT), บมจ. เน็กซ์ พอยท์ (NEX), บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC), บมจ. เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI), บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) บมจ. ยูนิวานิชน้ํามันปาล์ม (UVAN)
หลักทรัพย์ที่ออก มี 9 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI), บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC), บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH), บมจ.โรแยล พลัส (PLUS), บมจ.สามารถเทลคอม (SAMTEL), บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT), บมจ.ศุภาลัย (SPALI), บมจ.ทิปโก้ฟูดส์ (TIPCO)
THAI แนวโน้มโค้ง 4/68 และปี 2026 แข็งแกร่ง
บล.บัวหลวง ระบุว่า THAI รายงานกำไรหลักไตรมาส 3/68 ที่ 5,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 307% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ราคาน้ำมันลดลง, ค่าซ่อมแซมลดลง อย่างไรก็ตามจำนวนผู้โดยสารลดลง -1% YoY เป็น 3.90 ล้านคน, รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (passenger yield) ลดลง -8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็น 2.61 บาท/คน-กม.
เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และรายได้จากพัสดุภัณฑ์เฉลี่ยต่อหน่วย (freight yield) ลดลง -11% YoY เป็น 8.39 บาท/ตัน-กม. ขณะที่กำไรหลักไตรมาส 3/68 ลดลง 20% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตามทิศทางฤดูกาล
แนวโน้มไตรมาส 4/68 จากการประเมินเบื้องต้น มีแนวโน้มเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย และปรับกลยุทธ์การขาย (เน้นขายเป็น network) ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและ passenger yield สูงขึ้น อย่างไรก็ตามอาจมีการบันทึก impairment loss ของเครื่องบินเข้ามาในงบการเงินไตรมาส 4/68
ส่วนปี 2026 การเติบโตจะมาจากปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่ม จากทยอยรับเครื่องใหม่ บนสมมติฐานที่สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ และอาจมีอัพไซด์หากมีการเช่าเครื่องบินเพิ่มเติม (คาดเห็นความชัดเจนภายในปลายปีนี้) ในขณะที่คาดว่ารายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยจะทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2025 ที่ราว 2.78 บาท/คน-กม.
ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา Consensus ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ของ THAI ขึ้น 23% มาอยู่ที่ 3.44 หมื่นล้านบาท และทำประมาณการกำไรปี 2026 ที่ 2.91 หมื่นล้านบาท ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ปัจจุบัน THAI จะซื้อขายที่ PER ปี 2026 ที่ 7.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินในภูมิภาคเอเชียที่ 14.9 เท่าอยู่ 47% ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป.
ธุรกิจโรงแรม-คอมเมอร์เชียล หนุนกำไร AWC
บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์คงคาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานของ AWC ในปี 68 ราว 16,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ผลจากการรับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ เช่น โรงแรมมีเลีย พัทยา โรงแรมพัทยาแมริออท รีสอร์ต แอนด์สปา
โรงแรมเจดับบลิวแมริออทแบงก์ค็อกรัชดา จูบิลี่ เพรสทีจ ทาวน์เวอร์ และ Jurassic World : The Experience ที่มีผู้เข้าชมเฉลี่ย 2.2 พันคน/วัน ซึ่งช่วยทำให้จำนวนผู้เดินทางมาที่เอเชียทีค เดอะ ริ-เวอร์ฟร้อนท์ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Occ. rate และค่าเช่าปรับตัวขึ้น
คงสมมติฐาน%EBITDA ที่ระดับ 37.2% เพิ่มขึ้นจากระดับ 36.5% ในปี 67 จากความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เราคงคาดการณ์กำไรหลัก จำนวน 1,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ช่วง 9 เดือนปี68 กำไรหลักคิดเป็น 64% ของประมาณการทั้งปี 68
ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสม AWC ปี 69 ด้วยวิธี DCF อิง WACC ที่ 6.9% และ Terminal Growth ที่ 3% คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 69 เท่ากับ 2.40 บาท จากเดิมปี 68 ที่ 2.33 บาท คิดเป็น P/E ปี 69 ที่ 31 เท่า ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในปี 69 ราว 3.9% ต่อปี ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำซื้อ
SCCC ผลงานดีต่อเนื่อง
บล.ทิสโก้ คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/68 จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวหลังฤดูฝนและการฟื้นตัวหลังน้ำท่วม ราคาปูนซีเมนต์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งและการดำเนินงานในต่างประเทศที่ดีขึ้นจะผลักดันผลประกอบการ
ขณะที่ความต้องการที่ขับเคลื่อนโดยโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นปัจจัยหนุนปริมาณปูนซีเมนต์ประเภท bulk แม้ว่ากิจกรรมภาคเอกชนจะซบเซา เวียดนาม ศรีลังกา และกัมพูชา อยู่ในสถานะที่พร้อมสำหรับการเติบโตของปริมาณ แม้ว่าแรงกดดันด้านราคาจะยังคงมีอยู่ในบางตลาด การบริหารจัดการต้นทุนเชิงกลยุทธ์ และแผนงานด้านประสิทธิภาพน่าจะช่วยรักษาอัตรากำไรในทุกภูมิภาค
แนวโน้มปี 2026 การเติบโตของกำไรจะได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของปริมาณในเวียดนาม ศรีลังกา และกัมพูชา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานและสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่มีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ การปรับปรุงราคาปูนซีเมนต์ในประเทศไทยและเวียดนามจะช่วยเพิ่มอัตรากำไร สำหรับประเทศไทย การขึ้นราคาในเดือนมีนาคมจะเริ่มส่งผลดีต่อโครงการภาครัฐใหม่ๆ ซึ่งโดยปกติจะล็อกราคาไว้ตลอดระยะเวลาโครงการ ราคาของเวียดนามน่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกันเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งนำโดยการลงทุนของภาครัฐ
ปัจจัยขับเคลื่อนกำไรระยะยาว SCCC วางแผนที่จะลงทุน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโรงงานผลิตปูนเม็ดแห่งที่สองในเวียดนาม ซึ่งมีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในต้นปี 2028 การลงทุนนี้จะช่วยแก้ปัญหาช่องว่างทางโครงสร้าง โดยปัจจุบันกำลังการผลิตปูนเม็ดรองรับได้เพียง 3 ล้านตันต่อปี
ขณะที่ยอดขายปูนซีเมนต์คาดการณ์ไว้ที่ 4.5-4.6 ล้านตันในปีหน้า ส่งผลให้ต้องซื้อปูนเม็ดจากเวียดนามเหนือซึ่งมีต้นทุนสูง เมื่อเปิดดำเนินการแล้ว โรงงานแห่งใหม่น่าจะช่วยเพิ่มกำไรได้ 12-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดการพึ่งพาปูนเม็ดจากภายนอก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
โครงการพลังงานหมุนเวียน อย่าง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ INSEE B.Grimm กำลังผลิต 84 เมกะวัตต์ (MW) ก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเริ่ม COD กำลังการผลิต 24 เมกะวัตต์ในไตรมาส 3/68 ตามด้วย 8 เมกะวัตต์ในเดือนพฤศจิกายน และส่วนที่เหลือรอการอนุมัติจาก ERC เมื่อเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ โรงไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าได้ 117 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี และประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 360 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ EBITDA margin แข็งแกร่งขึ้น
มูลค่ายังคงน่าสนใจที่อัตราส่วน PER ปี 2025F ที่ 10.6 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 7.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายที่ 195 บาท อ้างอิงจากอัตราส่วน PER ปกติที่ 14.7 เท่า
แนวโน้มเชิงบวกสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง การปรับขึ้นราคาในระดับปานกลาง และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สนับสนุนการเติบโตระยะยาว ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความต้องการที่อ่อนแอกว่าที่คาด ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นในตลาดภูมิภาค เงินสดสำรองที่แข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ดีขึ้น และแผน CAPEX ช่วยเสริมความมั่นใจต่อผลประกอบการในอนาคต.


