GULF เคลียร์ปม KBANK ย้ำจุดยืน ‘สิทธิของเรา ใครก็ห้ามไม่ได้’

ท่ามกลางกระแสความสงสัยจากผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้น เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมติสำคัญของ "ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK"

ประเด็นที่ถูกจับตาคือ โครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงินของ KBANK ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 และกำหนดระยะเวลาการซื้อคืนระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2569

เนื้อเรื่องดูเหมือนจะธรรมดาและไม่น่ามีปัญหาอะไร! 

หากแต่ จากรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ KBANK หนึ่งในนั้นคือ "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GULF" ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 จำนวน  107,342,600 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.53%

จากราคาหุ้น KBANK ในช่วงเช้านี้ (3 พ.ย.2568) อยู่ที่ 185 บาท หากเกิดกรณี GULF ขายหุ้นทั้งหมดในวันนี้จะได้เงินเฉียด 20,000 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งคาดว่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนแน่ๆหากขายจริง เพียงแต่นี่คือเรื่องสมมุติเท่านั้น!

แต่นั่นอาจจะต้องปิดความเสี่ยงไว้ก่อนหรือไม่... เพราะความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือ... KBANK ส่งหนังสือ "ขอความร่วมมือ" มายัง GULF ในวันเดียวกันกับที่มีการประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อขอให้ GULF ไม่ขายหุ้นออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว

GULF ย้ำชัด ไม่ใช่บอร์ด ไม่จำกัดสิทธิ

"การลงทุนใน KBANK มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่บริษัทและผู้ถือหุ้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในฝ่ายบริหาร หรือนโยบายของธนาคารแต่อย่างใด" นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของบริษัท

พร้อมระบุว่า การประกาศซื้อหุ้นคืนของ KBANK "ไม่จำกัดสิทธิ" ของบริษัทในการซื้อหรือขายหุ้นในอนาคต เพราะทุกขั้นตอนต้องดำเนินการภายใต้กฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล และ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ GULF ยืนยันจุดยืนชัดเจนในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯว่า "จะดำเนินการทุกอย่างเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้น"

การชี้แจงนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ KBANK จะส่งจดหมายขอความร่วมมือ แต่ GULF ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุด ยังคงยืนยันในสิทธิและหน้าที่ในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น

โดยไม่ถูกผูกมัดหรือจำกัดสิทธิจากการดำเนินการของธนาคาร การตัดสินใจใดๆของ GULF ต่อจากนี้ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น GULF เป็นหลัก.