"เวียดนามโมเดล" จากชายฝั่งถึงผู้นำ! 3 เสาหลักความสำเร็จที่ไทยต้องรู้
เวียดนามโตเพราะกล้าคิด กล้าทำ! 3 เสาหลักแห่งความสำเร็จที่ไทยต้องเรียนรู้ เรื่องจริงจากประสบการณ์ตรง "สมหะทัย พานิชชีวะ" ซีอีโอ "อมตะ วีเอ็น" ผู้บุกเบิกการลงทุนในเวียดนาม
KEY
POINTS
- เวียดนามโตเพราะกล้าคิด กล้าทำ! 3 เสาหลักแห่งความสำเร็จที่ไทยต้องเรียนรู้
- เรื่องจริงจากประสบการณ์ตรง "สมหะทัย พานิชชีวะ" ซีอีโอ "อมตะ วีเอ็น" ผู้บุกเบิกการลงทุนในเวียดนาม
ลองจินตนาการถึงนักลงทุนหญิงคนหนึ่งจากประเทศไทย เธอใช้เวลาหลายปีทำโครงการนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ต้องผ่านด่านราชการ ฝ่ากฎหมาย ไปจนถึงเจรจากับผู้นำระดับจังหวัด
แต่สิ่งที่ "สมหะทัย พานิชชีวะ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จํากัด (มหาชน) หรือ AMATAV ได้จากประสบการณ์นั้น ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่คือ "บทเรียนความสำเร็จของประเทศเวียดนาม"
ทำไม ? AMATAV ถึงรู้เกี่ยวกับเวียดนาม
เนื่องด้วยเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีการลงทุนเฉพาะในเวียดนาม นับตั้งแต่ปี 2555 ในธุรกิจหลักนิคมอุตสาหกรรม โดยถือหุ้น 89.99% ใน Amata City Bien Hoa Joint Stock Company พร้อมกับการดำเนินธุรกิจพัฒนาพื้นที่เพื่อการพาณิชย์และที่อยู่อาศัย ปัจจุบันมีโครงการซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,000 เฮกตาร์
ในงานสัมมนาของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา เธอได้เล่าถึงสิ่งที่เห็น "ด้วยตาตัวเอง" และ "สัมผัสได้จริง" จนกลั่นออกมาเป็น 3 เสาหลักแห่งความสำเร็จของเวียดนาม ที่ทำให้ประเทศนี้ก้าวกระโดด จนกลายเป็น "ดาวรุ่งแห่งเอเชีย"
เสาหลักที่หนึ่ง: พลังของทำเลและภูมิศาสตร์
เวียดนามไม่ได้โชคดีโดยบังเอิญ แต่ถูก "จัดวาง" อย่างมีกลยุทธ์จากธรรมชาติ
- ชายฝั่งทะเลยาวกว่า 2,000 - 3,000 กิโลเมตร ซึ่งเปิดโอกาสให้สร้าง "ท่าเรือน้ำลึก" ได้หลายแห่งทั่วประเทศ การค้าระหว่างประเทศจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด
- พรมแดนติดจีน ประเทศที่เป็นทั้ง "โรงงานของโลก" และ "ตลาดบริโภคขนาดมหาศาล" ทำให้เวียดนามได้รับอานิสงส์จากการ ย้ายฐานการผลิต และ การค้าข้ามแดน ขณะเดียวกันก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของซัพพลายเชนโลก
- เวียดนามเหนือคล้ายเมืองจีน มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจจากภาคเหนือ ส่วน "เวียดนามใต้" เติบโตเร็วกว่า มีลักษณะเป็น Civilization Zone เป็นพื้นที่หลักของความเจริญ โดยเฉพาะเมืองโฮจิมินห์
แต่ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ! เวียดนามต้องเผชิญกับ "พายุไซโคลนกว่า 10 ลูกต่อปี" โดยเฉพาะทางภาคกลางถึงเหนือ ซึ่งสะท้อนว่าความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้มาจากโชค แต่จากการบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบ
เสาหลักที่สอง: คนเวียดนาม "ขยัน เก่ง และ Science Base"
จุดแข็งที่สุดของเวียดนามไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือ "ทรัพยากรมนุษย์"
- เวียดนามมีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก และ สัดส่วนผู้สูงอายุค่อนข้างต่ำ เพราะผลจากสงครามในอดีต ขณะเดียวกันมีอัตราการเกิดสูงกว่าอัตราการตาย ทำให้ประเทศนี้ยังคงมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมากในระบบ
- คนเวียดนามมี "ความทะเยอทะยานทางการศึกษา" ลูกจ้างส่วนใหญ่มีเป้าหมายจะต้องเรียนจบปริญญาตรี แม้จะเริ่มจากสายอาชีวะก็ตามการเรียนไม่ใช่เพียงเพื่อมีงานทำ แต่เพื่อยกระดับชีวิต
- ประเทศนี้ยังมีฐาน "Science Base" แข็งแกร่ง คนส่วนใหญ่เรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าสังคมศาสตร์หรือบริการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เซมิคอนดักเตอร์ และดิจิทัล เติบโตเร็วกว่าไทยในหลายด้าน
- ภาษาอังกฤษ ถูกประกาศให้เป็น "ภาษาหลัก" ของประเทศ และยังผลักดันให้เรียนภาษาจีนด้วย เพราะภาษาเวียดนามมีรากเสียงและโครงสร้างคล้ายกัน ทำให้คนเวียดนามเรียนรู้ภาษาได้ง่าย และสื่อสารกับโลกได้ดี
คุณสมบัติหลักของแรงงานเวียดนามจึงชัดเจน "เยอะ ถูก หนุ่ม และขยัน" ทั้งหมดนี้คือสูตรสำเร็จของประเทศที่ถูกวางรากฐานไว้เพื่อ "การผลิตและการเติบโต"
เสาหลักที่สาม: ระบบการปกครองที่ "ชัดเจนและเด็ดขาด"
สิ่งที่ทำให้เวียดนามต่างจากไทยอย่างสิ้นเชิง คือ "ความเร็วและความชัดเจน" ของรัฐ
- ระบอบคอมมิวนิสต์ของเวียดนามมีโครงสร้างการบริหารที่มั่นคงมาก การเปลี่ยนผู้นำไม่ได้เกิดแบบ "ล้มครืน" แต่ค่อยๆปรับเปลี่ยนทีละตำแหน่ง
- ผู้นำแต่ละคนถูกคัดสรรจาก "ความรู้ ความเข้าใจ และวิสัยทัศน์" ว่าประเทศต้องเดินไปทางไหน และมีพื้นฐานที่แข็งแรงทางเศรษฐกิจ
- ระบบเวียดนามมี "สี่เสาหลักแห่งอำนาจ" คือ
- เลขาธิการพรรค มักมีแนวทางใกล้ชิดจีนและเกาหลีเหนือ
- ประธานาธิบดี มุ่งความสัมพันธ์กับอเมริกาและยุโรป
- นายกรัฐมนตรี ดูแลเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และการดึง FDI
- ประธานสภาแห่งชาติ ทำหน้าที่ถ่วงดุลและตรวจสอบ
- เวียดนามตั้งเป้าหมายการเติบโตทุก 5 ปี อย่างชัดเจน ทั้งด้าน GDP และการดึง FDI ลงลึกถึงระดับจังหวัด
และเมื่อเป้าหมายชัดเจน "ระบบก็ทำงานเร็ว"
ผลงานดี = ได้โปรโมท ตัวอย่างคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ทำผลงาน FDI เด่น ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็น "นายกรัฐมนตรี" และต่อมาเป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง"
Efficiency คือคำตอบ: บทเรียนจากอมตะ วีเอ็น
"สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือความเร็ว" สมหะทัยกล่าว
เธอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด โครงการ Interchange (ทางเชื่อมมอเตอร์เวย์) ของอมตะในไทย ยื่นขออนุญาตมากว่า 20 ปี แต่ยังไม่ได้ ทั้งที่มีที่ดินพร้อมเชื่อมต่อ
แต่ในเวียดนาม เมื่อรัฐบาล "วางแผน (Plan)" เพียง 3 ปี โครงการก็แล้วเสร็จ แถมรัฐบาลยังลงทุนสร้าง Interchange เพิ่มเอง เพื่อรองรับการขยายเมืองอุตสาหกรรม
แม้แต่การจัดการ "ที่ดินสาธารณะ" ของเวียดนามก็ยืดหยุ่นกว่ามาก หากถนนหรือลำคลองไม่มีความจำเป็น ระดับจังหวัดสามารถ "ยกเลิก" ได้เลย เพื่อเพิ่มมูลค่าที่ดินโดยไม่ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร
ระบบเวียดนามจึง "ฉับไว" เพราะมีการ มอบอำนาจให้จังหวัดบริหาร FDI โดยตรง ต่างจากระบบราชการไทยที่ "ช้า ซ้ำซ้อน และรอคำสั่ง"
จุดอ่อน: กฎหมาย "เทาๆ" และการทุจริตที่ดิน
แน่นอนว่าไม่มีระบบไหนสมบูรณ์ เวียดนามเองก็มีจุดอ่อนสำคัญ
- กฎหมายเปลี่ยนบ่อย และไม่ชัดเจน ขาดความเป็น "ขาว-ดำ" ทำให้แต่ละจังหวัด ตีความต่างกัน บางครั้งกลายเป็น "หลุมพรางทางกฎหมาย" สำหรับนักลงทุนต่างชาติ
- ช่องว่างเหล่านี้เปิดทางให้เกิด การทุจริตที่ดิน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ในระดับจังหวัด
แต่รัฐบาลก็ไม่ได้เพิกเฉย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายร้อยคนทั้งเลขาจังหวัด ผู้ว่าฯและอธิบดีในข้อหาทุจริต
ก้าวต่อไป: ยกเลิกสิทธิพิเศษ – แต่พัฒนาอย่างมีเป้าหมาย
เวียดนามกำลังเข้าสู่ "เฟสใหม่ของการเติบโต" โดยเริ่มยกเลิกสิทธิประโยชน์แบบครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) และหันมาเน้น อุตสาหกรรมเป้าหมาย (Target Industry) เช่น Digital Innovation, Go Green และพื้นที่ห่างไกลที่ต้องการพัฒนา (Zone 3/4)
นโยบายนี้ "คัดลอกจากไทย" แต่พัฒนาให้ทันสมัยกว่า เวียดนามเชื่อว่า "FTA, ค่าแรง และระบบบริหารประเทศ" มีเสน่ห์เพียงพอโดยไม่ต้องพึ่ง incentive มากเหมือนเดิม
รัฐยังเดินหน้า ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แม้จะมีหนี้สาธารณะเพียง 37% ของ GDP แต่กลับลงทุนหนักใน
- รถไฟความเร็วสูงเหนือ-ใต้
- ระบบพลังงานไฟฟ้า
- และโครงการ "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์" ขนาด 4,000 เมกะวัตต์ (หน่วยที่ 1) ที่จะเริ่มในช่วงปี 2030-2035 เพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟสูง เช่น Semiconductor และ Electronics
บทสรุปสำหรับไทย : "Copy and Development"
สมหะทัย ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิด "คนไทยสู้ได้แน่นอน แต่รัฐบาลต้องช่วยให้เราสู้ได้" เธอเสนอว่าไทยควรใช้แนวทาง "Copy and Development" คือ เรียนรู้จากเวียดนาม แล้วพัฒนาให้ดีกว่า
พร้อมทั้งผลักดันนโยบายช่วยเหลือนักลงทุนไทยในต่างประเทศ เหมือนที่ญี่ปุ่นทำผ่านองค์กร อย่าง JICA หรือ JBIC
เวียดนามไม่ได้โตเพราะโชค แต่เพราะ "ระบบ" ที่ชัดเจน
ไทยไม่ได้ถอยเพราะคนไม่เก่ง แต่เพราะ "โครงสร้าง" ที่ช้าและขาดวิสัยทัศน์
และนี่คือ "ภาพจริงจากสนามลงทุน" ที่สะท้อนว่า อนาคตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังถูกเขียนใหม่ โดยเวียดนาม.


