จับตาฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหุ้นไทย-บาทอ่อน รับเฟดลดดอกเบี้ย 0.25%
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% และมีโอกาสลดดอกเบี้ยอีกในปีนี้ หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง-เงินบาทอ่อนค่า โบรกฯ ชูหุ้นปันผลเด่น-ส่งออก-ท่องเที่ยว
KEY
POINTS
- เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% และมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม
- การลดดอกเบี้ยของเฟดคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ชู 8 หุ้นปันผลเด่น
- ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกและการท่องเที่ยว
ตามที่ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุมเดือน ก.ย.2568 ในอัตรา 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพื่อบริหารภาคแรงงานที่เสี่ยงขึ้น
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ Dot Plot คาดเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ทำให้ทั้งปี 2568 จะลด 3 ครั้ง (เดิม 2 ครั้ง) และลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในอัตรา 0.25% ในปี 2569 (เดิม 2 ครั้ง) สอดรับกับเฟดที่ปรับเพิ่ม GDP ปี 2568-2569 ขึ้นสู่ 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ
ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยเด่นกว่าที่อื่นในช่วงที่เหลือของปี คาดหวัง 2 ครั้ง ส่วนประเทศอื่นๆ คาดว่าอาจจะคงดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในช่วงที่เหลือของปี ทำให้คาดหวังเม็ดเงินตราสารหนี้ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ที่มีระดับ MARKET EARNING YIELD เด่นกว่าฝั่งตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยไทยอยู่ระดับสูงถึง 6.7% ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ อย่าง S&P500 และ NASDAQ ที่อยู่ระดับ 4.1% และ 3.1% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุนในยามที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลงเร็วและแรงกว่าประเทศอื่นๆ แนะนำหุ้นปันผลเด่น อย่าง ICHI, TISCO, CPF, AP, PTT, WHA, ADVANC, BDMS
ทั้งนี้ ด้านกลุ่มธนาคารไทย หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการลดดอกเบี้ยจากระดับปัจจุบันที่ 1.5% (Bond yield ไทยอายุ 1 ปี ที่ 1.29% และ 2 ปี ที่ 1.16%) ในการประชุมช่วงที่เหลือของปี 2568 (8 ต.ค. และ 17 ธ.ค.) อาจแตกต่างกับในสหรัฐฯ เนื่องจากสัดส่วนรายได้ของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ อิงกับรายได้ดอกเบี้ยฯ (NII) เป็นหลัก ประกอบกับนโยบายสินเชื่อเข้มงวด ทำให้สินเชื่อไม่ได้เติบโตมากนัก จึงมีแรงกดดันจาก NII
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ (รวมถึงคาดหวังการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ) และดอกเบี้ยนโยบายที่ทยอยลดลงจากจุดสูงสุดที่ 2.5% จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาวต่อไป หนุนต่อเนื่องถึงการดำเนินงานกลุ่มให้ฟื้นตัวระยะถัดไป
สำหรับกลุ่มธนาคาร คงน้ำหนัก “Neutral” แม้การดำเนินงานมีแรงกดดันจากวงจรดอกเบี้ยขาลง แต่ในอีกด้านสร้างความจูงใจในเชิงหุ้นปันผลสูง (5.7-8.4%) เลือกธนาคารพาณิชย์ที่ให้ Div Yield สูง และ ROE ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ อย่าง SCB, KTB และ TISCO
ขณะที่กลุ่มจำนำทะเบียนรถ เริ่มเห็นแรงขายทำกำไร ตาม Bond yield (และนักลงทุนบางกลุ่มอาจมีการเตรียมเงิน เพื่อนำไปจองซื้อหุ้น IPO ในกลุ่มจำนำทะเบียรถ ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเปิดจอง) แต่ทางพื้นฐานการทยอย Repricng ตราสารหนี้ ยังเป็นปัจจัยบวกต่อ Loan spread กลุ่มฯ ในปีหน้า คงชอบ TIDLOR และ MTC มากกว่า SAWAD
บล.พาย ระบุว่า US Bond Yield กลับมาเร่งตัวขึ้นผสานกับ Dollar Index พลิกมาแข็งค่าและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบ 31.8 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนมุมมองเชิงเข้มงวดมากขึ้นจากตลาดส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าทางเฟดยังคงกังวลกับภาวะเงินเฟ้อและปิดโอกาสลดดอกเบี้ยในอัตราเร่ง ปี 2569 เฟดประเมินว่าจะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งเท่านั้น
เงินบาทที่อ่อนค่า มองเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, MINT, ITC, TU) ประเมินทิศทางเงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าต่อ เพราะส่งออกมีแนวโน้มเริ่มจะเติบโตในทิศทางชะลอลงหรืออาจติดลบก็เป็นไปได้ จากช่วงแรกเร่งไปค่อนข้างแรง


