posttoday

"นิตินัย" เปิดใจครั้งแรก ปม "AOT - คิงเพาเวอร์" กับสัญญาที่อาจถึงจุดแตกหัก!

23 มิถุนายน 2568

สัมภาษณ์พิเศษ "นิตินัย ศิริสมรรถการ" อดีตซีอีโอ AOT ผู้ถูกจับจ้องท่ามกลางดราม่า เปิดใจครั้งแรก "คิงเพาเวอร์" เข้าช่วงวิกฤติ! เปรียบดั่งคนไข้อาการโคม่ารอวันถอดออกซิเจน หวังปมเลิกสัญญาจบลงด้วยดี พร้อมเปิดเส้นทางธุรกิจโลกใหม่เสริมทัพอนาคต

KEY

POINTS

  • สัมภาษณ์พิเศษ "นิตินัย ศิริสมรรถการ" อดีตซีอีโอ AOT ผู้ถูกจับจ้องท่ามกลางดราม่า
  • เปิดใจครั้งแรก "คิงเพาเวอร์" เข้าช่วงวิกฤติ! เปรียบดั่งคนไข้อาการโคม่ารอวันถอดออกซิเจน หวังปมเลิกสัญญาจบลงด้วยดี
  • พร้อมเปิดเส้นทางธุรกิจโลกใหม่เสริมทัพอนาคต

เมื่อสังคมตั้งคำถามถึงอดีตแม่ทัพใหญ่ของ "บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT" อย่าง "นิตินัย ศิริสมรรถการ" ที่ข้ามฟากมานั่งตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลดัง "ศรีวัฒนประภา" เก้าอี้ CEO ของ "บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด" แทน "คุณต๊อบ - อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา" ท่ามกลางกระแสดราม่าสุดร้อนแรงจากการยื่นขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีทั้ง 5 สนามบิน

คำถามโหมซัดจากทุกทิศทาง!
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ? 
ใครได้ ใครเสีย ?
บทบาทของรัฐในสัญญานี้ควรเป็นอย่างไร ?

และที่สำคัญ... สังคมจะวัด "ความโปร่งใส" ของการย้ายขั้วครั้งนี้ได้อย่างไร ?

ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลาย "คุณอ๊อฟ - นิตินัย ศิริสมรรถการ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เคลียร์ทุกประเด็นดราม่ากับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ตนลาออกจาก "บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT" เมื่อ 2 ปีก่อน

ในตอนนั้นคิดในใจว่ามี 2 ทางเดิน คืออยู่ในอำนาจรัฐต่อ หรือทางเดินที่สอง คือ "เอกชน" ซึ่งตนเลือกทางเดินที่สอง ตามกฎหมายต้องเว้นวรรคการทำงานกับบริษัทที่เคยมีผลประโยชน์ เป็นเวลา 2 ปี  

ตลอดการทำงานที่ AOT ในช่วง 8 ปี มีสัญญาที่ตนเคยเซ็นสำหรับผู้ประกอบการ รวมสัญญาผู้รับเหมาคาดว่ามากกว่า 10,000 สัญญา และไม่ต่ำกว่า 5,000 บริษัท นั่นหมายความว่า ชีวิตของคนที่เข้ารับตำแหน่งซีอีโอรัฐวิสาหกิจจากนี้ไม่น่าจะมีบริษัทใดที่จะร่วมงานได้ และจะไม่มีรายได้ตลอด 2 ปี! 

จาก AOT สู่ CEO คิงเพาเวอร์ หวั่นคำครหาหรือไม่ ?

ทุกบริษัทที่ตนรู้จักเป็นคู่สัญญาของ AOT ถ้าหากหยิบมาเป็นประเด็นครหา ถ้าผมไปทำงานในบริษัทใดก็ตามใน 5,000 บริษัทนี้ก็ย่อมถูกข้อครหาเช่นเดียวกับที่มาทำที่คิงเพาเวอร์หรือไม่ 

เพียงแต่ยอมรับว่าด้วยความเป็น "คิงเพาเวอร์" กระแสจึงค่อนข้างแรง แต่ถ้าตนไปบริษัทที่เล็กกว่านี้จะไม่โดนคำครหาหรืออย่างไร 

"ผมเข้าใจภาครัฐ เข้าใจบริบทในสังคมที่ผมอาจจะต้องโดนตําหนิ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าผมมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยง แม้ผมจะไปทำบริษัทเล็กที่อื่นก็โดนข้อหาเดียวกัน ผมมีทางเลือกทางเดียวคือ "ไม่ทํางาน" หรือไม่ผมก็ไปทํางานภาครัฐเท่านั้น"

ดีล "คิงเพาเวอร์" เกิดขึ้นตอนไหน ?

วันเวลาผ่านไป ในช่วงเดือน ก.พ. 2568 ตนจึงได้เริ่มหางานใหม่ เพราะมีครอบครัวต้องดูแลก็ต้องทำงานหาเงิน ในตอนนั้นได้พูดคุยกับผู้บริหารหลายบริษัท ซึ่ง "คิงเพาเวอร์" คือหนึ่งในบริษัทที่พูดคุยเช่นกัน 

แต่ตนเองยังไม่ตัดสินใจใดๆ หลังจากพูดคุยผ่านไปนานกว่า 1 เดือน ตนคิดทบทวนเพื่อตกผลึกว่า "ต้องการทำงานที่ไหน" ท้ายที่สุดจึงเลือก "คิงเพาเวอร์" และเริ่มทำงานมากว่า 10 วันที่เข้ามารับตำแหน่ง

"ผมเพิ่งมาหางานในเดือนกุมภาพันธ์ มันไม่มีใครหางานล่วงหน้าปีครึ่งหรอก เราต้องหางานใกล้ๆ ตอนนั้นพูดคุยหลายบริษัท แล้วก็ใช้เวลาพัก ไปดำน้ำคิดวนไปว่าจะไปทำที่ไหน สุดท้ายก็เลือกคิงเพาเวอร์"

จังหวะพอดี "คิงเพาเวอร์" ยกเลิกสัญญากับ AOT ยิ่งจุดเชื้อไฟ!

ตอบตามตรงว่า "ตกใจ" เพราะตนเพิ่งเข้ามาทำงานที่คิงเพาเวอร์วันที่ 4 มิ.ย.2568 เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ซึ่งตนไม่ค่อยแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากหมดวาระที่ ทอท. ตนไม่ทราบว่าทําอะไรกันถึงปล่อยให้สัญญาดังกล่าวเป็นเช่นนี้ 

ในตอนนั้นที่ตนสวมหมวก AOT เราได้สัญญาที่ดี เราก็ควรถือสัญญาตลอด แต่ไม่ใช่ ตอนนั้นตนเป็นประธานคณะกรรมการรายได้ มีเคสเกิดขึ้นมากกว่า 10 เคสต่อเดือน มาขอยกเลิกสัญญา สมมุติ นาย ก. เป็น ผู้อำนวยการ ท่า ก.ไก่ ปรากฏว่ามีเพื่อนทําร้านขายข้าวซอย ทางธนาคารการันตีคัฟเวอร์ 6 เดือนแต่ นาย ก. ปล่อยให้เพื่อนทํา 3 ปีแล้วกินใต้โต๊ะกัน แต่วันหนึ่งทำไม่ไหว ยกเลิกพร้อมยึดเงิน 6 เดือนแต่เงินไปไหนกลับไม่มีคนรับผิดชอบ 

ดังนั้นตอนที่ตนทำหน้าที่จึงตั้งเกณฑ์ว่าถ้าธนาคารการันตีกี่เดือนให้ดูว่า ถ้ามีการสรรหาผู้ประกอบการใหม่ 4 เดือน ท่าน ผอ.ท่ากอไก่จะต้องโดนดีฟายคณะกรรมการรายแรกก่อน 6 เดือนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาให้แบงค์การันตีโอเวอร์รัน

สิ่งที่ผมกําลังจะบอกคือ ตอนนี้ผมไม่แน่ใจเพราะว่าผมไม่ได้อยู่มา 2 ปี ผมไม่เห็นตัวเลข ผมไม่ทราบว่าปล่อยอะไรกันอยู่ 2 ปี เพื่อให้เห็นว่ามีสัญญาที่ได้เปรียบ แต่ "คิงเพาเวอร์" ติดหนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าวันดีคืนดี ถ้าติดหนี้แล้วมันโอเวอร์แบงค์การันตี ใครจะรับผิดชอบ!

ดังนั้นปัญหาเกิดจากทั้งสองฝั่ง มันอยู่ที่การยืดเวลามาจนโคม่าทั้งคู่ ตอนนี้ไม่ได้โคม่าแค่ AOT แต่รวมถึง คิงพาวเวอร์ เพราะขาดสภาพคล่อง ไม่มีกระแสเงินสด 

งานนี้เหมือนเดจาวู ทอท. ประมูลได้น้อยก็ถือว่าเสียประโยชน์ แบงค์การันตีไม่โคฟเวอร์ก็ถือว่าทําให้ ทอท. เสียประโยชน์ เครื่องบินไม่ลง ไม่เกี่ยวคิงเพาเวอร์ที่ทําตามสัญญา

"ผมเคยคิดว่าถ้าผมเป็นซีอีโอ AOT คงเหนื่อย เพราะต้องรับผิดชอบทั้งสังคม มีร้านเปิด รับผิดชอบถ้าเปิดประมูลน้อยก็เสียประโยชน์ ไม่เปิดประมูลเลย ปล่อยให้แบงก์การันตีก็โอเวอร์ไป ค่อนข้างเห็นใจ ทอท."

วันนี้ "คิงเพาเวอร์" เข้าขั้นโคม่า ?

"คิงเพาเวอร์" เปรียบเหมือนคนไข้โคม่ามีหลายโรค หัวใจเต้นไม่ถูกจังหวะ ตัวบวมเพราะว่าไตวาย แขนเน่า เพราะว่าเบาหวาน แต่ตอนนี้อยู่ได้ด้วยอ็อกซิเจน จึงถามไปที่ AOT ว่า ช่วยถอดออกซิเจนออกได้หรือไม่เพราะฉันไม่ไหวแล้ว! 

นี่คือเมสเสจ แต่ก็ไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง แค่อยากบอกว่าฉันไม่ไหว เพราะว่าฉันเป็นโรคหัวใจ เป็นโรคนั่นนี่ ซึ่งก็มีความหวังว่าหมอบอกว่าอย่าเพิ่งตายรักษาไปก่อนได้ไหม ก็มีความหวังว่า ทอท.จะมีความคิดอย่างนั้น

ถามว่านี่เป็นการตีค่าตัวเองในราคาสูง "เคาะกะลาเรียกหรือไม่ ?" ตอบเลยว่า "ไม่ใช่" เพราะครั้งก่อนๆที่ตัวเองไม่ไหวก็ขอนโยบายเยียวยาเป็นทูเวย์แมสเสจ ทาง ทอท.จะให้หรือไม่ค่อยว่ากัน แต่ครั้งนี้มันคนละอย่างกัน "ช่วยถอดออกซิเจนฉันเถอะ ถ้า ทอท.ยอมถอดอ็อกซิเจน คือจบเลย" และถ้าจบตามนี้ คิงเพาเวอร์ก็ต้องไปทํามาหากินอะไรต่อไป

"แต่ว่าจดหมายครั้งนี้ มันเป็นจดหมายที่บอกว่าเราไม่มีทางเลือก แต่มีทางเลือกเดียว คือถ้าไม่มีการรักษาโรคต่างๆก็ถอดอ็อกซิเจนออกไปได้เลย เพราะว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเรายังอยากมีชีวิตอยู่ ถ้าตัดแขนนี้ออกไปแล้วเรายังมีทางทำมาหากิน พอมีทรัพยากรทำมาหากิน แต่ถ้าปล่อยไปอย่างนี้มันจะพังไปทั้งเครือ ตอนนี้มันยังไม่พัง เรายังเก็บตังค์บางส่วนไปทํามาหากิน นี่คือวัตถุประสงค์ของการเขียนไป"

จากที่ตนเข้ามานั่งดูงบการเงินและอ่านจดหมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้ง ทอท. และ คิงเพาเวอร์ถึงปล่อยให้ทุกอย่างเนิ่นนานมาจนถึงวินาทีสุดท้าย ทั้งเรื่องกฎหมาย และฐานะการเงินอันตราย

แนวทางการรักษา ?

แนวทาง "คิงเพาเวอร์" ถ้าให้ดูเคลียดน้อยลง คงต้องเปรียบเหมือนเรื่องคนแต่งงานกัน ภรรยาอาจจะบ่นสามีดื่มเหล้าทุกวัน แถมมีภรรยาน้อย ซึ่งภรรยารับไม่ไหวเพราะทํามากเกินไป ดังนั้นภรรยาจึงยื่นข้อเสนอว่าให้สามารถดื่มเฉพาะวันศุกร์และเลิกกับเมียน้อย หรือเปรียบเปรยเหมือนกับหมอจะรักษาโรคหัวใจก่อน ถ้าจังหวะการเต้นหัวใจกลับมาปกติ จะถอดใจไม่รักษาเบาหวานไหม

ตอนนี้คิงเพาเวอร์ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้ เพราะบอกไปแล้วว่าเราไม่ไหว ช่วยถอดออกซิเจนหน่อย ถ้า ทอท.บอกว่าไม่รักษา เราก็จะฟัง

หลายคนถามว่า คิงเพาเวอร์มีธงอย่างไร ?

ถ้าธงในการฟังเป็นพ่อค้าหน้าเลือด ซึ่งตอนนี้เราไม่มีเลือดแล้ว ถ้าธงคือพ่อค้าหน้าเลือดเราก็จะบอกว่าถ้าเงื่อนไขมา แล้วเราทํากําไรไม่ได้ เราก็เลิกกิจการ แต่เราไม่ได้อย่างนั้น เงื่อนไขมาแล้วเราอยู่ด้วยกันได้ก็เอา เพราะเราจับมือกันอยู่ ผมไม่เชื่อว่าแขนที่จับกันแน่น คุณก็รับผิดชอบสังคม ผมรับผิดชอบประเทศชาติ ถ้าพังก็ทั้งคู่ ก็คือตัดทั้ง 2 แขนแล้วแยกจากกัน เราไม่อยากเห็นภาพนั้น 

ฉะนั้นต่อให้มันต้องเจ็บตัวบ้าง ต่อให้ต้องตัดเล็บถอดเล็บบ้าง ไม่ได้กําไร ผมเชื่อว่าคิงเพาเวอร์ยังไม่ถึงขนาดต้องตัด ตอนนี้มองแค่ว่าจะทำอย่างไรที่จะประคองให้อยู่ต่อไปได้ มันไม่ได้พูดถึงเรื่องว่าใครจะกําไร ใครจะขาดทุน มันปล่อยมายาวจน ถ้าเป็นเบาหวานแขนเน่าไปแล้ว ตรงนี้คือมันอยู่ในโจทย์ที่เขาทําให้ของเรา ก็ได้มากกว่า ไม่ได้พูดเรื่องกําไร

อยากได้เงื่อนไขแบบไหน ?

ตนไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่าย ทอท. และ คิงเพาเวอร์ มีการเจรจาอย่างไร อาจจะคุยเรื่องกฎหมาย หรือ กระแสเงินสด (Cash Flow) ซึ่งเงื่อนไขมีมากมาย สมมุติว่าคิงเพาเวอร์ขอให้พิจารณาภายใน 45 วันตามเงินสดที่มี หรือ ทอท.ให้อยู่ต่อ 45 วันทางคิงเพาเวอร์จะนำคํามั่นที่ให้ไว้ไปกู้แบงค์ถึงยอมปล่อยสินเชื่อ แต่หาก ทอท.ไม่มีสัญญาณตอบรับการขอยกเลิกสัญญา เมื่อครบกำหนด 45 วันเงินหมด ไม่มีแบงก์ไหนปล่อยกู้ เพราะแบงก์ต้องถามว่าจะทำอะไรกิน หนี้ที่ติดอยู่จะคืนอย่างไร แต่หากมีสัญญาณที่ดี คิงเพาเวอร์สามารถกู้เงินเพื่อมาเยียวยาเงินสดได้

อย่างไรก็ดี ตนเองตอบไม่ได้เลยว่าต้องการเงื่อนไขอะไรอย่างไร เพราะธุรกิจมันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ มันเป็นศิลปะ ดังนั้นเงื่อนไขอะไรที่ทำให้เราอยู่ได้ ถ้าส่งสัญณาณไปต่อให้เราไปกู้แบงก์ได้มันก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่เราอยู่ได้ แต่นี่แค่ตัวอย่างเพราะตนไม่ทราบลึกๆเพราะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ 10 วัน จึงยังไม่ได้ดูรายละเอียดว่าจุดที่มันอยู่ได้นั้นมีทางเลือกอะไรบ้าง 

"ให้ตอบตอนนี้ มันตอบไม่ได้หรอกว่าเงื่อนไขจะต้อง 45 วัน ไม่ใช่ 60 วัน หรือเงื่อนไขลดเท่าไหร่ ลดตอนนี้แล้วปูดในตอนหลังก็ไปตายเอาดาบหน้าอันนี้ผมไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆคือวันนี้มันเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย จดหมายนั่นเปรียบเหมือนใบมรณบัตรของเรา"

สรุปอยากแก้ไขสัญญาสัมปทาน ?

"คิงเพาเวอร์" ไม่อยากตัดแขนทั้งคู่ ไม่มีใครอยากพูดเข้าข้างตัวเอง เพียงแต่ปรับอย่างไรให้เราอยู่ต่อได้ แต่ถ้า ทอท. คิดว่าอาจทำให้คนที่ ทอท.ต้องติดคุก ติดตะรางหรือโดนคดีมากมาย เราก็พร้อมจะทําความเข้าใจ ไม่อยากให้ประเทศมันพังไปพร้อมกับเราเช่นกัน

รายละเอียดสัญญาสัมปทานที่ทำกับ ทอท. เป็นแบบไหน

บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนมี 2 รูปแบบ คือ ผลตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) และจ่ายส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) อย่างต่ำ 20% ตลอดสัญญา 10 ปี โดยกำหนดว่าให้เอกชนจ่ายผลตอบแทนเป็นสัดส่วนจากเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง แล้วแต่ตัวเลขใดจะมากกว่ากันในปีนั้น

ตอนที่กําหนด Minimum Guarantee มีข้อสมมุติฐานต่างๆมากมาย ศัพท์เทคนิคเรียกว่า "พารามิเตอร์" ใช้คํานวณค่าตอบแทนขั้นต่ำ ฉะนั้นตอนนี้ไม่มีค่าตอบแทนขั้นต่ำเพราะสมมติฐานตอนคํานวณวันนั้นมีอะไรผิดพลาด เช่น โควิด-19 เป็นต้น การผิดพลาดดังกล่าวต้องบันทึกด้วยว่าเป็นความผิดพลาดจากฝั่งไหน 

เมื่อก่อนมีมินิมัมการันตีประมาณ 20% ตัวอย่างเช่น คนนี้ขายของเก่ง มีเครือข่าย Hermes Birkin, นาฬิกา Patek Philippe ส่วนคนที่ขายของไม่เก่ง พี่จะขายนาฬิกา SEIKO ไม่มีน้ําหอม แต่ขายน้ำอบ ดังนั้นการทํากําไรแต่ละคนจึงแตกต่าง คนขายไม่เก่งกล้าใส่ซองเยอะ เทียบกับคิงเพาเวอร์ใส่ซองเท่ากัน แต่ข้อเสนอไม่สมเหตุสมผล ทอท.จึงดูเทคนิคกับราคาว่าสอดคล้องกันหรือไม่

"ความไม่แฟร์ไม่ได้เกิดจาก ทอท. แต่เกิดจากบริบทโลกที่เปลี่ยน เช่น โควิด-19 เท่าที่อ่าน 7 หัวข้อ คือพารามิเตอร์แง่มุมต่างๆเรื่องความเป็นธรรม ก็มีบางส่วนที่ปรับ"

หนังสือที่ "คิงเพาเวอร์" ส่งถึง ทอท. เรื่องของการขอเจรจาเพื่อพิจารณาแนวทางยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 สัญญา รวม 5 ท่าอากาศยานหลักของ AOT ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง พร้อมท่าอากาศยานส่วนภูมิภาค 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (สงขลา) และท่าอากาศยานเชียงใหม่

KPD กับข้อเสนอทั้ง 7 ข้อ

บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ยื่นข้อเสนอ 7 ประเด็นดังนี้คือ

1. การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 กระทบต่อวิธีการคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ลดลงจากการหยุดประกอบการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้าอย่างไม่เป็นธรรม และแตกต่างจากเจตนาของ TOR และสัญญาฯอย่างมีนัยสำคัญ

2. การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ.2530 (ฉบับที่ 7 ) ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ยกเว้นอากรสินค้าไวน์ที่ระบุไว้ในประกาศฯ (จากเดิมอัตราอากรอยู่ที่ร้อยละ 60) ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่าย

3. การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของทอท. บางส่วน(เนื้อที่ประมาณ 491.220 ตารางเมตร) ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งทอท.ใช้วิธีคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ต้องชำระให้แก่ทอท.ที่ปรับลดลงตามสัดส่วนของพื้นที่ขอคืนมีผลต่อยอดจำหน่ายสินค้าลดลง

4. การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซี่งมีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอยสูงสุด

5. สถานการณ์ภายในประเทศอันส่งผลทางลบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนผู้โดยสาร เช่น การย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ การปิดตัวของบริษัทในหลายอุตสาหกรรม อาชญากรรมทางไซเบอร์ (แก๊งค์ คอลเซ็นเตอร์) หรือการถล่มของตึก สตง.จากแผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในประเทศ

6. สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังมีผลกระทบต่อธุรกิจ

7. สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

"หากตกลงกันไม่ได้ ยกเลิกสัญญาก็เคลียร์บัญชี หาก ทอท.เปิดประมูลใหม่ เราก็พร้อมเข้าประมูลใหม่ ซึ่งจะเป็นการประมูลที่อยู่บนพื้นฐานบริบทใหม่ และการจ่ายผลตอบแทนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน"

อนาคต "คิงเพาเวอร์"

ก่อนอื่นต้องมองธุรกิจให้ชัดว่าเป็นอย่างไร คือ ถ้าเป็นขาลงต่อไปก็เป็นขาขึ้น แต่ถ้าการขาลงรอบนี้ เป็น Disrupt หรือการล่มสลาย จะวิกฤตแน่นอน เพราะช่วงต่อไปมีความหมายว่า เป็นการหายสาบสูญไปจากธุรกิจ เพราะการทำธุรกิจจะแตกต่างกัน ถ้าธุรกิจที่เป็นขาขึ้นที่เป็น Cycle เราก็มีวิธีการอัดทรัพยากรการขาดแคลนเข้าไป แต่ธุรกิจขาลง คือการเอาตัวเองออกจากอุตสาหกรรมนั้น

คําถามตอนนี้เงื่อนไขการดำเนินธุรกิจปัจจุบันมันเป็นเงื่อนไขของ Disrupt หรือ Cycle โดยเงื่อนไขวันที่เสนอไป ทอท. ถือเป็นเงื่อนไขของการล่มสลายของทั้งคู่ เราเลยรอฟังว่าถ้ามันไปไหว เดี๋ยวแผนธุรกิจเรามีที่จะฟื้นฟูไปด้วยกัน แผนธุรกิจต้องดูว่าการล่มสลายเกิดจากอะไรเพื่อวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ทุกธุรกิจที่เจอปัจจัยล่มสลาย เช่น โควิด-19 ต้องมีการปรับโครงสร้าง โดยสิ่งที่เราต้องดู คือ สภาพคล่องของบริษัททั้งหมดเป็นอย่างไร โครงสร้างพนักงานเป็นอย่างไร เงื่อนไข Disruption คืออะไรจึงอุดตรงนี้ก่อน

แผนธุรกิจต่อจากนี้คือ "คิงเพาเวอร์" ไม่เป็นผู้ตามตลาด เพราะ Next Move ไม่ได้วัดกันที่ความเหนือชั้นในรูปแบบเดิม แต่ความสำเร็จคือการอ่านโลกให้ขาด เพราะโลกเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว

ถ้าไม่มี Disrupt เชื่อว่าบริษัทจะเป็นผู้นำในด้านนี้ก็ขอให้คอยดูว่าอะไรทำในวันนี้เราจะไม่ทำ แต่เราจะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำในอีก 2 ปีข้างหน้า เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม เทคโนโลยี และธุรกิจที่สามารถเติบโตในต่างประเทศ เป็นต้น.

"นิตินัย" เปิดใจครั้งแรก ปม "AOT - คิงเพาเวอร์" กับสัญญาที่อาจถึงจุดแตกหัก!

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เชลซี พบ เอฟเวอร์ตัน พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68