“ชวินดา” มองหุ้นไทยครึ่งหลังดีขึ้น รับความหวังเจรจาการค้าสหรัฐ
“ชวินดา หาญรัตนกูล” มอง SET ครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น รับความหวังเจรจาการค้ากับสหรัฐ แนะจัดพอร์ตลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ เชียร์ลงทุน Thai ESGX ช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทย
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ หัวข้อ Growth Stocks In-Depth: Strategies for Success ที่จัดขึ้นโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดจะปรับตัวดีขึ้น ความผันผวนลดลง จากการเจรจาทางการค้ามีความหวังมากขึ้น หลังจากไทยได้รับข้อความตอบรับจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเขาเปิดช่องให้มีการกลับมาเจรจากันอีกครั้ง
ทั้งนี้ เชื่อว่าภายในเดือน ก.ค.2568 จะเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนว่าตลาดหุ้นจะเดินหน้าไปในทิศทางใด เพราะแม้จะมีผลกระทบจากภาษีทรัมป์ แต่สุดท้ายต้องจบ น่าจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยเฉพาะตัวที่ทำให้เกิดความอ่อนไหว ขึ้นอยู่กับการแก้ไขสถานการณ์ และหลายองค์ประกอบที่ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้น หรือลงได้
“ตลาดหุ้นทั่วโลก เจ็บมาตั้งแต่ทรัมป์ เวลาเป็นแผล เจ็บ แต่ความเจ็บมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ตลาดหุ้นไทยน่าจะใกล้มาถึงจุดเกือบพีค หรือผ่านจุดต่ำสุด ซึ่งหลังจากนี้หากไทยมีการเจรจาการค้ากับสหรัฐได้ ไม่ว่าจะมาหรือน้อยอย่างไร น่าจะเป็นข่าวดี ซึ่งจะต้องมีการเจรจาให้ถึงสุดทาง เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่ปีที่แล้วดอกเบี้ยเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้น” นางชวินดา กล่าว
ขณะเดียวกัน มองว่าตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ จะต้องมีนักลงทุนครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ได้แก่ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างประเทศ แต่เนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาษีทรัมป์ การเมืองในประเทศ และผลตอบแทนตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนมีความกังวลในการลงทุน
ดังนั้น นักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอนาคต เติบโตต่อเนื่อง มีการจ่ายปันผลที่ดี ส่งเสริมให้พอร์ตเราเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งยังมีหลายอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ กลุ่มหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริดภคในประเทศ เช่น สื่อสาร โรงพยาบาล และโรงแรม
โดยนักลงทุนจะต้องมีการจัดพอร์ตการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ลงทุนหุ้นต่างประเทศ 50-60% ของพอร์ต โดยมองว่าเวียดนาม พอที่จะลงทุนได้ จีน 2-3 ปีนี้ น่าจะลงทุนได้ ส่วนอินเดีย ลงทุนได้ แต่ต้องระมัดระวัง ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ 50% ของพอร์ต นอกจากนี้ จะต้องลงทุนทองคำ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในภาวะตลาดหุ้นผันผวน
นางชวินดา กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้ารักประเทศไทย ต้องลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund: Thai ESGX)
โดยผู้ลงทุนทั่วไปยังสามารถซื้อได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน)
สำหรับ Thai ESGX เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือความยั่งยืน ที่ผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยที่ Thai ESGX จะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิด้วย
“ตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ รัฐพยายามช่วยแล้ว ประชาชนช่วยหรือยัง ถ้าตลาดหุ้นไทยไม่มีคนไทยลงทุนมันจะไปรอดมั้ย ถ้าอยากเป็นกิ่งหนึ่งในการช่วย ก็ลงทุนในกองทุน Thai ESGX” นางชวินดา กล่าว


