posttoday

BGRIM เสี่ยงหนัก! เวียดนามจ่อหั่นค่าไฟพลังงานทดแทน ฉุดกำไรหด

29 พฤษภาคม 2568

เฝ้าระวังแรงกระแทก "หุ้นโรงไฟฟ้า" อาจถูกปรับลดค่าไฟโรงไฟฟ้าที่เวียดนาม 3โบรกเห็นตรงกันหั่นกำไรปี68 ชี้หั่นค่าไฟ 1 เซนต์กดกำไร BGRIM ราว 180-200 ล้านบาทต่อปี

KEY

POINTS

  • เฝ้าระวังแรงกระแทก "หุ้นโรงไฟฟ้า" อาจถูกปรับลดค่าไฟโรงไฟฟ้าที่เวียดนาม
  • 3โบรกเห็นตรงกันหั่นกำไรปี68 ชี้หั่นค่าไฟ 1 เซนต์กดกำไร BGRIM ราว 180-200 ล้านบาทต่อปี

เรื่องนี้ต้องขยาย! 

ทันทีที่ "การไฟฟ้าเวียดนาม (EVN)" ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติที่รัฐบาลเวียดนามเป็นเจ้าของ ประกาศปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศ เพื่อบรรเทาภาระด้านค่าใช้จ่ายของประชาชนและหนี้สาธารณะของประเทศ 

โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับลดมีดังนี้ 1) โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ปรับลดค่าไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (FiT) จาก USD 0.0935 ต่อหน่วย เหลือ USD 0.0709 ต่อหน่วย สำหรับโครงการที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) หลังเดือนมิ.ย.2019 แต่ก่อนเดือนธ.ค.2022

2) โครงการพลังงานลม ปรับลดค่าไฟฟ้า FiT จาก USD 0.085-0.0985 ต่อหน่วย เหลือ USD 0.0635-0.0726 ต่อหน่วย สำหรับโครงการที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) หลังเดือนพ.ย.2021

"บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM" ลงทุนโรงไฟฟ้าในเวียดนามซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าในเวียดนาม 2 โครงการ คือ 1) Dau Tieng Tay Ninh Energy และ 2) Phu Yen TTP มีจำนวน Equity MW ที่ 445.6 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งได้ COD ไปแล้วตั้งแต่ปี 2019 แต่ทว่าหน่วยงานในเวียดนาม MOTI แจ้งว่า ก่อนจะ COD ต้องได้รับใบรับรองจาก MOTI ก่อน 

BGRIM ชี้แจงว่าได้ยื่นให้ MOTI มาตรวจสอบตั้งแต่ปี 2019 แล้ว แต่จากข้อจำกัดในการตรวจสอบทำให้ BGRIM ได้ใบรับรองล่าช้ามาในปี 2020 ทำให้ทาง EVN ของเวียดนามได้ปรับลดราคาค่าไฟของ BGRIM จากเดิมที่จะได้ 9.35 เซนต์เหลือ 7.09 เซนต์

ในทางปฏิบัติ BGRIM ยังคงเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าจาก EVN ในอัตรา 9.35 เซนต์ แต่ทาง EVN ชำระค่าไฟให้เพียง 7.09 เซนต์ เริ่มมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค. 2025 ที่ผ่านมา ทำให้มีการบันทึกรายได้ค้างรับราว 50 ล้านบาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดค่าไฟลงอาจได้การขยายระยะเวลาการขายไฟมาชดเชยแทน  

พัฒนาการล่าสุด ผู้บริหาร BGRIM แจ้งว่าจะสามารถสรุปผลการเจรจากับ EVN เกี่ยวกับค่าไฟได้ภายในปีนี้ว่าจะเป็นเท่าไร เบื้องต้นแจ้งว่าหากมีการปรับลดค่าไฟลง 1 เซนต์จะกระทบกำไรของ BGRIM ราว 180-200 ล้านบาทต่อปี

รวมถึงอาจต้องมีการตั้งด้อยค่า 2 รายการประกอบด้วย รายได้ค้างรับในส่วนของลูกหนี้การค้าราว 50 ล้านบาทต่อเดือน เทียบเท่า 600 ล้านบาทต่อปี รวมถึงมูลค่าโครงการจากกระแสเงินสดรับที่จะลดลง 

นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อข้อมูลวันนี้จากความชัดเจนมากขึ้นกับราคาค่าไฟที่อาจจะถูกปรับลดลงมา ซึ่งก่อนหน้าตัวเลขค่าไฟต่ำตามข่าวต่ำกว่าข้อมูลวันนี้

อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนอีกครั้งในปีนี้ว่าจะสรุปผลอย่างไรในประเด็นดังกล่าว หากมีการปรับลดค่าไฟลงอย่างที่แจ้งมาจะส่งผลกระทบกับกำไรของ BGRIM สูงสุดถึง 400 ล้านบาทต่อปีและจะมีตั้งด้อยค่าในส่วนลูกหนี้และมูลค่าโครงการที่ลดลง

ข่าวนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การชี้แจงครั้งนี้ทำให้มีความชัดเจนต่อผลกระทบต่อการดำเนินงานมากขึ้น เพียงต้องรอผลสรุปอีกทีว่าจะเป็นอย่างไรซึ่งยังมีความเสี่ยงต่อประมาณการหากต้องมีการตั้งด้อยค่าเพิ่มเติม

ภาพชัดไตรมาส 2/68

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า แม้ BGRIM จะให้ความเชื่อมั่น แต่ฝ่ายวิเคราะห์กลับมองเป็นลบมากขึ้นต่อโครงการ RE ในเวียดนามจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของรัฐบาล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ขณะที่ บริษัทต่างๆ รวมถึง BGRIM ยังคงบันทึกรายได้ตามค่าไฟเดิม (US¢9.35/kWh)ในงบกำไรขาดทุนผ่านบัญชีลูกหนี้ (AR) 

ขณะที่ การเรียกเก็บเงินสด (งบกระแสเงินสด) ในความเป็นจริง น่าจะใกล้เคียงที่ US¢7.09/kWh รอจ่ายอีก 3 เดือน ซึ่งจะทำให้รับรู้กระแสเงินสดในไตรมาส 2/68 อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำ ธนาคาร และกองทุนต่างๆ กำลังเจรจากับทั้ง EVN และรัฐบาล โดยคาดว่ากรอบเวลาจะชัดเจนขึ้นภายในสิ้นปี 2568 สำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุด ฝ่ายวิเคราะห์เห็นว่าเป็นไปได้ที่อาจจะมีการตั้งด้อยค่าและ de-rating valuation

ในกลุ่มบริษัทโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิเคราะห์ศึกษาอยู่ พบว่า BGRIM มีความเสี่ยงสูงสุด (446MWe หรือ ~17%ของ capacity ที่ดำเนินการอยู่) เทียบกับ GULF* (1-3% ของกำไร) BCPG* และ BPP* (น้อยที่สุด) จากการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของเราพบว่า ค่าไฟฟ้าที่ลดลงทุกๆ US¢1/kWh ของโครงการจะทำให้กำไรหลักของ BGRIM ลดลงราว 200 ล้านบาทต่อปี หรือราว 10% ของกำไร

ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดปริมาณยอดขายไฟฟ้าของ BGRIM ให้แก่กลุ่ม IU ลง 8% YoY เทียบกับ guidance ของบริษัทที่ -5% ถึง -10% YoY ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับกำไรหลักปี 2568–2570 ลง 5–8% ดังนั้น กำไรใหม่ปี 2568–2569 จะต่ำกว่า consensus ราว 6% และ 29% บนสมมติฐานค่าไฟเฉลี่ย 3.70 บาท/kWh

ในระยะสั้นกำไรหลักในไตรมาส 2/68 น่าจะลดลงทั้งไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) และช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) หลักๆ ฉุดจาก margin ของ SPP ที่อ่อนแอลง ต้นทุนก๊าซธรรมชาติทรงตัวเทียบกับค่าไฟฟ้าที่ลดลง

ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดคำแนะนำ BGRIM ลงเป็น “ถือ” จากซื้อ และปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 10.10 บาท (DCF-WACC ที่ 6.6%) เดิม 13.10 บาท ตามกำไรที่ถูกปรับลงและให้ discount โครงการในเวียดนามมากขึ้น Tay Ninh(240MWe) และ Phu Yen(206MWe) ซึ่งเป็นตัวสร้างกำไรหลักนอกเหนือจากโรงไฟฟ้า SPP ของ BGRIM 

เราคาดจะเห็น sentiment เชิงลบโดยการ de-rating และการปรับลดกำไรที่เกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อให้ตอบรับกับความเสี่ยงจากเวียดนามที่เกิดขึ้น ความล่าช้าของการสร้างโครงการกังหันลมนอกชายฝั่ง Nakwol1+2 และอุปสงค์ IUที่อ่อนแอ ปัจจัยลบนี้มีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยบวกจากราคาพลังงานที่ลดลงเร็วกว่าค่าไฟ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบมากพอ

หั่นกำไรวูบ

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ถือ ปรับลดราคาพื้นฐานเป็น 11 บาท (DCF) ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 68 ลง -20% และปี 69 ลดลง -14% สะท้อนผลกระทบค่า FiT โครงการโรงไฟฟ้า 2 แห่งในเวียดนามที่ลดลง

อีกทั้งบริษัทได้รับผลกระทบจากค่า Ft ในประเทศที่ลดลงจาก 0.3672 บาท/หน่วย เป็น 0.1972 บาท/หน่วย เนื่องจากมีโรงไฟฟ้า SPP ที่ราคาค่าไฟฟ้าอิงกับค่า Ft กว่า 90% ในพอร์ต

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น BGRIM ปิดการซื้อขายในช่วงเช้านี้ (29 พ.ค.68) อยู่ที่ 9.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท คิดเป็น +0.51% มูลค่าการซื้อขาย 58.43 ล้านบาท ราคาขึ้นสูงสุด 10.10 บาท และลดลงต่ำสุด 9.75 บาท

ข่าวล่าสุด

ยุคทอง YouTube Podcast เดือนเดียวยอดชมบนทีวีพุ่ง 700 ล้านชั่วโมง