PTTGC ไตรมาส 1/68 ขาดทุนน้อยกว่าคาด โบรกลุ้นฟื้น-ราคาต่ำบุ๊ค
"บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)" เปิดงบไตรมาส 1/2568 รายได้รวม 132,547 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ -2,567 ล้านบาท โบรกชี้ขาดทุนลดลงดีกว่าคาด PBVต่ำสุด แนะซื้อ เป้า 28 บาท
KEY
POINTS
- "บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)" เปิดงบไตรมาส 1/2568 รายได้รวม 132,547 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ -2,567 ล้านบาท
- โบรกชี้ขาดทุนลดลงดีกว่าคาดได้เปรียบด้านต้นทุน - หนึ่งในผู้อยู่รอดรับการฟื้นตัวระยะยาว - PBV ต่ำสุดในกลุ่ม
- คงแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ประกาศงบการเงินไตรมาส 1/2568 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายรวม 132,547 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2567 แต่ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยหลักมาจาก "กลุ่มโรงกลั่น" ที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดโลก ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันมีความท้าทายจากปัจจัยต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า
ประกอบกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงครียดทางการค้าระหว่างประเทศด้วยการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าซึ่งส่งผลกดดันต่อต้นทุนและความต้องการในการบริโภค
ไตรมาส 1/2568 บริษัทรายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 5,377 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 102% จากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและมุ่งเน้นประสิทธิภาพของบริษัทที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจปรับตัวดีขึ้นจากผลประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และโพลิเมอร์เป็นหลัก บริษัทมีความได้เปรียบด้านต้นทุนของโรงโอเลฟินส์ โดยในไตรมาสนี้บริษัทได้รับปริมาณก๊าซอีเทนที่ใช้ในการผลิตด้วยสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่าไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2567 บริษัทมีการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการปรับราคาสัญญาซื้อวัตถุดิบอีเทนจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ซึ่งในไตรมาสนี้ไม่มีรายการดังกล่าว ด้านอัตรากำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในไตรมาส 1/2568 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 80 ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในอุตสาหกรรมของภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งราคาของกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ปรับสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อยท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบต่อความกังวลของอุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมถึงอุปทานส่วนเกินที่ทำให้ผู้ผลิตในตลาดยังควบคุมระดับอัตราการผลิตอย่างต่อเนื่อง
ผลประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณการขายของบริษัท allnex ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเป็นหลัก ประกอบกับค่าใช้จ่ายดำเนินการที่ลดลงเป็นผลจากการปรับโครงสร้างของ Vencorex
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เบนซีนที่ปรับลดลงเป็นหลัก ส่วน กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีผลประกอบการทรงตัวโดย GRM อยู่ที่ 3.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 1/2568
บริษัทรับรู้ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาตามสภาวะตลาด ได้แก่ ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และการกลับรายการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV Reversal) สุทธิเป็นขาดทุน 55 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 809 ล้านบาท กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นกำไร 441 ล้านบาท
รวมถึงบริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้จำนวน 138 ล้านบาทปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนจากจากผลประกอบการของบริษัทร่วมค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิโพรพิลีนที่ปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณการขายเป็นหลัก ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 2,567 ล้านบาท คิดเป็น -0.61 บาท/หุ้น
บริษัทมีสินทรัพย์ รวมทั้งสิ้น 650,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 4,191 ล้านบาท หรือ 1% โดยมีรายละเอียดของการลดลงที่มีสาระสำคัญประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียน เพิ่มขึ้น 5,765 ล้านบาท มาจากรายการเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน
กอปรกับสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น หักกลบกับลูกหนี้การค้าที่ลดลง สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลง ขณะที่ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ลดลง 1,628 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น เพิ่มขึ้น 474 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 383,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 6,227 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดที่มีสาระสำคัญประกอบด้วย หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ลดลง 3,249 ล้านบาท สาเหตุจากการจ่ายชำระคืนเงินกู้ระยะยาว จำนวน 3,386 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่า ลดลง 460 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 10,477 ล้านบาท หนี้สินหมุนเวียนอื่น ลดลง 1,723 ล้านบาท และหนี้สินตราสารอนุพันธ์ไม่หมุนเวียน เพิ่มขึ้น 403 ล้านบาทเป็นหลัก
บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น 266,557 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 2,036 ล้านบาท ลดลงจากการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบอื่นของผู้ถือหุ้น มาจากขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน และจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในบริษัท GPSC
ขาดทุนลดลง-แนะซื้อ เคาะเป้า 28 บาท
บล.กรุงศรี ระบุว่า มีมุมมอง Slightly positive ต่อขาดทุนสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ออกมา -2,567 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/67 ที่ -606 ล้านบาท และในไตรมาส 4/67 ที่ -11,738 ล้านบาท ซึ่ง PTTGC ถือว่าดีกว่าฝ่ายวิเคราะห์คาด 8% และตลาดคาด 12% ซึ่งดีกว่าฝ่ายวิเคราะห์คาด เพราะส่วนแบ่งกำไรฯสาย PP และ fx gain มากกว่าคาด
โดยในไตรมาส 1/68 แย่ลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน(y-y) ตามอัตรากำไรของทั้งฝั่งปิโตรเคมีที่ถูก oversupply กำลังการผลิตใหม่และสงครามการค้า รวมถึงโรงกลั่นที่ค่าการกลั่น ลดลง -59% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน กำลังการผลิตใหม่โรงกลั่นทั่วโลกทำให้ supply ตึงตัวน้อยลง
ส่วนการฟื้นขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า(q-q) เพราะ สายโอเลฟินส์ได้ feed Ethane เพิ่มขึ้นและไม่มีผลของการปรับสัญญาขายกับ PTT ส่วนสาย performance material ออกจาก low season และไม่มีปิดซ่อมนอกแผนของโรงกลั่น
หากแยกพิจารณาปัจจัย stock ที่ยังมีความไม่แน่นอนในไตรมาส 2/68 มีแนวโน้มฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า(q-q)จากความต้องการใช้ของจีน และการลด run ของ supply ในภูมิภาคหนุนการฟื้นตัวของ product spread สายโอเลฟินส์ รวมถึง allnex เข้าสู่ low season
คงคำแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท คงมุมมองความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของ PTTGC มีความได้เปรียบอุตสาหกรรม สะท้อนจาก u-rate สายโอเลฟินส์ที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยในภูมิภาค คาดเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่รอดรับการฟื้นตัวในระยะยาว โดย PBV ซื้อขายที่ 0.3 เท่า ต่ำสุดในกลุ่ม


