เฝ้าระวัง! TOP ค่าการกลั่นวูบ-ขาดทุนสต็อกน้ำมัน ฉุดผลงาน Q2/68
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 2/68 คาดการณ์ค่าการกลั่นจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 เนื่องจาก Crude Premium ยังคงอยู่ในระดับสูง อันเป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวด
นอกจากนี้ ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ชะลอตัวลง จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ และจีน
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/68 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่อาจอ่อนตัวลงจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ประกอบกับอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร (OPEC+) ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ และอาจทำให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ค่าการกลั่นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินที่คาดว่าจะสูงขึ้นตามฤดูกาลขับขี่ ประกอบกับ Crude Premium มีแนวโน้มปรับลดลง
ไทยออยล์จะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดและพร้อมขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทางกลยุทธ์ที่วางไว้ในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์ตลาดที่ท้าทาย ขณะเดียวกันก็ยังคงมุ่งแสวงหาโอกาสใหม่ๆเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับผลดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 3,503.5 ล้านบาท ลดลง 40.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,862.95 ล้านบาท มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มลดลงเล็กน้อย
ขณะที่มีรายได้จากการขาย 106,270 ล้านบาท ลดลง 5,692 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่ปรับลดลง มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน 5.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลลดลง 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 10.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากกําไรขั้นต้นจากการกลั่นที่ปรับลดลง จากส่วนต่างราคานํ้ามันเบนซิน นํ้ามันอากาศยาน/นํ้ามันก๊าด นํ้ามันดีเซล และนํ้ามันเตากํามะถันตํ่ากับนํ้ามันดิบดูไบที่ปรับลดลง
โรงกลั่นไทยออยล์มีอัตราการใช้กําลังการกลั่นเพิ่มขึ้น 8% เนื่องจากในไตรมาส 1/67 มีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 3 เป็นเวลา 13 วัน โดยมีรายได้จากการขายลดลง 9,170 ล้านบาท ตามราคาขายของบางผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามโรงกลั่นไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการกลั่นไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันลดลง 5.5 เหรียญสหรัฐฯ และมีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันลดลง 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากไตรมาส 1/67
ขณะที่มีรายการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือนํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูป 80 ล้านบาท เทียบกับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือนํ้ามันดิบและนํ้ามันสําเร็จรูป 824 ล้านบาท ในไตรมาส 1/67 เมื่อรวมกําไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA ลดลง 4,487 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน
"ในไตรมาส 1/68 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 3,504 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 737 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน จากกำไรการสต็อกน้ำมันจำนวน 1,080 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2,010 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับมีกำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้จำนวน 174 ล้านบาท ภาพรวมกลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มฯ รวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามันอยู่ที่ 6.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้น 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลจากไตรมาส 4/67"