posttoday

ส่องค่าเงิน-ฟันด์โฟลว์ ในภูมิภาคเอเชีย รับผลกระทบภาษีทรัมป์

07 พฤษภาคม 2568

เทียบฟอร์มค่าเงินเอเชีย ประเทศไหนแข็งค่า-อ่อนค่า และฟันโฟลว์ไหลเข้า-ออกมากที่สุด รับผลกระทบความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ออกมาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับช่วงเวลาในการทำข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า 

ขณะที่ล่าสุด รัฐบาลจีนและสหรัฐฯ ประกาศนัดเจรจาสงบศึกสงครามการค้า ที่ สวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงปลายสัปดาห์นี้

จากความไม่แน่นอนดังกล่าว ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในหลากหลายมิติ ซึ่งรวมไปถึงค่าเงิน และเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หรือ Fund Flow  

สำหรับประเทศไทย ส่งผลให้ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทหลุดแนวรับที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้เป็นไปตามทิศทางเดียวกับค่าเงินในเอเชีย หลังมีสัญญาณในด้านสงครามการค้า ที่มีการเตรียมเจรจาภาษีทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ประกอบกับแรงหนุนจากการปรับขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามปัจจัยสำคัญ ทั้งการประชุมธนาคารสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 6-7 พ.ค.นี้ และการประชุมธนาคารกลางของอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ สถานการณ์สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ และราคาทองคำในตลาดโลก

“พูน พานิชพิบูลย์” นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า การแข็งค่าของเงินบาท ส่วนหนึ่งมาจากดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรง โดย Fund Flow เข้ามาซื้อตราสารหนี้ไทยจำนวนมาก ตั้งแต่ต้นปี 2568-6 พ.ค.2568 (YTD) ซื้อสุทธิ 9.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทย 5.5 หมื่นล้านบาท 

“จังหวะแรก นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งว่า แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ย เลยเข้ามาซื้อบอนด์ระยะยาวก่อน จากนั้นพอเงินบาทแข็งค่าขึ้น ดอลลาร์อ่อนค่า ก็เข้ามาเก็งค่าเงิน ผ่านบอนด์ระยะสั้น” 

ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า Fund Flow เริ่มเข้ามากระจุกตัวในตลาดการเงินของไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ไทย วานนี้ (6 พ.ค.) ต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 2.6 หมื่นล้านบาท (สูงสุดในปีนี้) และหลังสงกรานต์ ซื้อสะสมมาแล้ว 6.8 หมื่นล้านบาท และสลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาด TFEX 3 ใน 4 วัน หลังสุด

ส่องค่าเงิน-ฟันด์โฟลว์ ในภูมิภาคเอเชีย รับผลกระทบภาษีทรัมป์

ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” จะพามาดูประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียว่า ค่าเงิน และ Fund Flow ที่เข้า-ออกผ่านตลาดหุ้น แต่ละประเทศ นับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-6 พ.ค.2568) เป็นอย่างไรกันบ้าง

โดยในส่วนของค่าเงินได้รวบรวมมา 12 สกุลเงิน ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ อินเดีย จีน ฮ่องกง เวียดนาม อินโดนีเซีย 
 

ทั้งนี้ พบว่านับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-6 พ.ค.2568) มี 10 สกุลเงิน แข็งค่า ได้แก่ ค่าเงิน JPY (ญี่ปุ่น) แข็งค่า 9.75%YTD, ค่าเงิน TWD (ไต้หวัน) แข็งค่า 8.41%YTD, ค่าเงิน SGD (สิงคโปร์) แข็งค่า 5.80%YTD, ค่าเงิน MYR (มาเลเซีย) แข็งค่า 5.72%YTD, ค่าเงิน KRW (เกาหลีใต้) แข็งค่า 5.06%YTD

ค่าเงิน THB (ไทย) แข็งค่า 4.09%YTD, ค่าเงิน PHP (ฟิลิปปินส์) แข็งค่า 4.06%YTD, ค่าเงิน INR (อินเดีย) แข็งค่า 1.49%YTD, ค่าเงิน CNY (จีน) แข็งค่า 1.19%YTD, ค่าเงิน HKD (ฮ่องกง) แข็งค่า 0.24%YTD

ขณะที่อีก 2 สุกลเงิน อ่อนค่า ได้แก่ ค่าเงิน VND (เวียดนาม) อ่อนค่า 1.88%YTD และ ค่าเงิน TDR (อินโดนีเซีย) อ่อนค่า 2.17%YTD

ส่องค่าเงิน-ฟันด์โฟลว์ ในภูมิภาคเอเชีย รับผลกระทบภาษีทรัมป์

ส่วน Fund Flow เข้าออกตลาดหุ้น รวบรวมมา 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย และญี่ปุ่น 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Bloomberg พบว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-6 พ.ค.2568) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทุกตลาดหุ้นในเอเชีย ประกอบด้วย 

  • ไต้หวัน ขายสุทธิ 15,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • เกาหลีใต้ ขายสุทธิ 12,329 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • อินเดีย ขายสุทธิ 11,718 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ญี่ปุ่น ขายสุทธิ 10,868 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • อินโดนีเซีย ขายสุทธิ 3,062 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • มาเลเซีย ขายสุทธิ 2,587 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ไทย ขายสุทธิ 1,619 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • เวียดนาม ขายสุทธิ 1,516 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ฟิลิปปินส์ ขายสุทธิ 241 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่องค่าเงิน-ฟันด์โฟลว์ ในภูมิภาคเอเชีย รับผลกระทบภาษีทรัมป์

โดยประเทศที่มีเงินไหลออกมากที่สุด คือ ไต้หวัน รองลงมา คือ เกาหลีใต้ และ อินเดีย ส่วน ฟิลิปปินส์ มีเงินไหลออกน้อยที่สุด ขณะที่ ไทย มีเงินไหลออกเป็นอันดับที่ 7 จำนวน 1,619 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 55,092 ล้านบาท 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’