posttoday

ตรึงค่าไฟ 3.99 บาท จริง หรือ หลอก ? คัดหุ้นโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์ ?

07 พฤษภาคม 2568

หุ้นโรงไฟฟ้าบวกแรง! กพช.ส่อแววตรึงค่าไฟงวดใหม่ ก.ย.-ธ.ค.68 ไม่เกิน 3.99 บาท นี่คือผลดีจริง หรือแค่ภาพลวงตา ? โบรกเชียร์ GULF ผลงานแกร่งสุด BCPG กำไรครึ่งปีหลังสวย

KEY

POINTS

  • หุ้นโรงไฟฟ้าบวกสวย! กพช.ส่อแววตรึงค่าไฟฟ้างวดใหม่ กันยายน-ธันวาคม 2568 ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย
  • แต่นี่คือผลดีจริง หรือแค่ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ ?
  • โบรกเชียร์ "GULF" โรงไฟฟ้าเบอร์หนึ่ง ผลงานแกร่งสุด พ่วง BCPG กำไรครึ่งปีหลังสวย 

ทันทีที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 6 พ.ค.68 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พิจารณาราคาค่าไฟฟ้างวดใหม่ เดือน ก.ย.-ธ.ค.2568 ให้อยู่ที่ระดับ 3.99 บาทต่อหน่วย และหากไม่มีเหตุการณ์สำคัญ รัฐบาลจะพยายามตรึงให้ได้ในระดับนี้จนถึงสิ้นปี 

พร้อมเร่งรัดการปรับปรุงหลักเกณฑ์ การคัดเลือกรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้แล้วเสร็จ และให้เอกชนเดินหน้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA) เพื่อให้มีการกำหนดราคาที่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ 

อานิสงส์หุ้นโรงไฟฟ้าบวกสดใส

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโรงไฟฟ้าปิดการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้(7 พ.ค.68) นำทีมโดย หุ้นของ "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" อยู่ที่ 49.25 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท คิดเป็น +4.23% มูลค่าการซื้อขาย 784.84 ล้านบาท

หุ้น "บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM" อยู่ที่ 11.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท คิดเป็น +3.57% มูลค่าการซื้อขาย 107.42 ล้านบาท

หุ้น "บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG" อยู่ที่ 6.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท คิดเป็น +1.48% มูลค่าการซื้อขาย 17.66 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ประเด็นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบวกเล็กน้อยต่อหุ้นโรงไฟฟ้า เพราะเดิมทีตลาดส่วนใหญ่จะใช้ตัวสมมติฐานว่าในงวดสุดท้ายของปี อาจจะมีการปรับลดค่าไฟที่ราว 3.70 บาทต่อหน่วย หากบทสรุปกรอบค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยจะช่วยให้แรงกดดันเกี่ยวกับการค่าไฟลดน้อยลง 

แต่อาจต้องรอให้มีความชัดเจนอีกครั้งในช่วงพิจารณาค่าไฟฟ้างวดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน กรกฎาคมนี้ เพราะการกําหนดกรอบไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยนั้นไม่สามารถการันตีได้ว่าท้ายที่สุดจะไม่สามารถปรับลดลงมาได้

"เราต้องรอความชัดเจนในการพิจารณาค่าไฟงวดถัดไปที่น่าจะเริ่มเปิดการประชาพิจารณ์(public hearing)น่าจะประมาณเดือน กรกฎาคม จากนั้นจะมีการทดแทนประมาณต้นเดือนสิงหาคม เพราะรอบล่าสุดที่เพิ่งอนุมัติเป็นรอบของเดือนพฤษภาคมจนถึงสิงหาคม 2568" 

SPP - IPP รับอานิสงส์ ?

ถือเป็นปัจจัยบวกต่อ "ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)" ด้วยแรงกดดันเรื่องค่าไฟลดลง แต่หากพิจารณาจากกำไรปี 2568 อาจยังไม่โดดเด่น เพราะผลของการลดค่าไฟในรอบเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมที่ 3.98 บาทต่อหน่วย จะเริ่มเข้ามาเห็นผลในช่วงไตรมาส 2/2568 อาจทําให้การฟื้นตัวถูกจํากัดได้ในระยะกลาง

ดังนั้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจ คงแนะนำหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบจํากัดจากการปรับค่าไฟฟ้าในประเทศ แนะนำ "ซื้อ" หุ้นของ "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" คือผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer หรือ IPP) เป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟ บวกกับการกระจายธุรกิจหลากหลาย ทั้งในฝั่งของ ICT เติบโตดีเช่นกันจึงทําให้กำไรโดยรวมเติบโต

ที่สำคัญ GULF เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากเม็ดเงินกองทุน Thai ESGX ไหลเข้า เพราะมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ เรตติ้ง ESG อยู่ระดับ AAA ถือว่าค่อนข้างดี 

ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 คาดการณ์ GULF กําไรนิวไฮ ที่ 5,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% และจะได้รับอานิสงส์จากการควบรวมรับรู้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ผลงานทั้งปี 2568 กำไรนิวไฮจากการรับรู้ส่วนแบ่งกําไรโดยตรงจาก ADVANC คาดกำไรไตรมาส 2/2568 แตะระดับ 6,000 - 6,300 ล้านบาท คงแนะนําซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 53.25 บาท

"แม้ราคาหุ้น GULF ปัจจุบันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวมองว่าสามารถซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาวได้"

รวมถึงแนะนำหุ้นของ "บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG" เป็นโรงไฟฟ้าที่มีรายได้กําไรจากต่างประเทศจึงไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวมากนัก ขณะที่คาดกำไรปกติในไตรมาส 1/68 ที่ 235 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยจากไตรมาส 4/67 จากส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯที่คาดเพิ่มขึ้น, ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงตามฤดูกาล และ ค่าใช้จ่ายทางการเงินที่คาดลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง ขณะที่ลดลงจากไตรมาส 1/67 จากการหมดสัญญา Adder และการขายโรงไฟฟ้าญี่ปุ่น

เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 2/68 ทำได้ราว 250-300 ล้านบาท กลับมาเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากปัจจัยฤดูกาลและค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นไป

ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดกำไรปกติจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องจากการรับรู้ผลจากค่าความพร้อมจ่ายในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นแบบเต็มไตรมาส และการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Monsoon ที่ทยอย COD ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ลงเป็น 9 บาท คงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับการลงทุนระยะยาว

"การฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะสั้นอาจยังถูกจำกัดจากแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 ไม่เด่น ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจอาจรอจังหวะซื้อหลังประกาศงบไตรมาส 1 ด้วยไตรมาส 2 กำไรฟื้น และครึ่งปีหลังรับรู้รายได้เต็มที่ในสหรัฐ อีกทั้งหากสหรัฐฯประกาศลดภาษีบริษัท ยิ่งส่งผลดีต่อ BCPG ที่ตั้งโรงไฟฟ้าในสหรัฐเช่นกัน แต่อาจต้องรอความชัดเจนต่อไป"

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"