posttoday

TRUE เปิดแผนปี 68 ลั่นพลิกกำไร จ่อจ่ายปันผลกว่า 50% ครั้งแรกหลังควบรวม

21 กุมภาพันธ์ 2568

ส่องแผนธุรกิจ TRUE ปี 68 ลั่นพลิกมีกำไร จ่อจ่ายปันผลกว่า 50% ครั้งแรกหลังควบรวม ตั้งเป้า EBITDA โต 8-10% ปักธงรายได้บริการโต 2-3% จากกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่-กลุ่มธุรกิจออนไลน์ วางงบลงทุน 28,000-30,000 ล้านบาท

KEY

POINTS

  • ส่องแผนธุรกิจ TRUE ปี 68 ลั่นพลิกมีกำไร จ่อจ่ายปันผลกว่า 50% ครั้งแรกหลังควบรวม
  • ตั้งเป้า EBITDA โต 8-10% ปักธงรายได้บริการโต 2-3% จากกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่-กลุ่มธุรกิจออนไลน์
  • ปี 68 วางงบลงทุน 28,000-30,000 ล้านบาท   

หลังจากวานนี้ (20 ก.พ.2568 ) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ได้ประกาศงบไตรมาส 4/2567 และปี 2567 โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 7,508 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบเชิงลบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 11,066 ล้านบาท 

โดยผลกระทบเชิงลบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ประกอบด้วย รายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดเกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและสินค้าคงเหลือ การด้อยค่าประจำปีของค่าความนิยมและเงินลงทุน และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และยังได้ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดสำหรับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายหน่วยงานท้องถิ่นในปี 2568 

เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3,558 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 451 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 11,400 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย

ดังนั้นส่งผลให้ปี 2567 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 10,966 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบเชิงลบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจํานวน 20,832 ล้านบาท เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 9,866 ล้านบาท

ล่าสุด วันนี้ (21 ก.พ.) TRUE ได้จัด “Meet TRUE's CFO (co) 4Q2024" ถอดรหัสงบการเงิน ทิศทางการดำเนินงาน และการลงทุน ให้ข้อมูลโดย นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) TRUE

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) TRUE เปิดเผยว่า แนวโน้มปี 2568 คาดจะมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ตามรายงานและได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการ 

นอกจากนี้ คาดรายได้จากการให้บริการ ไม่รวมรายได้จากค่าบริการเชื่อมต่อโครงข่าย และโรมมิ่งภายในประเทศกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จะเติบโต 2-3% 

โดยแนวโน้มนี้พิจารณาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ควบคู่กับการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการในกลุ่มธุรกิจออนไลน์ ในขณะที่ธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกคาดว่าจะทรงตัว และการเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ที่สูงขึ้นจากธุรกิจ B2B ทั้งนี้ รายได้จากบริการโรมมิ่งภายในประเทศที่ได้รับจาก NT คาดว่าจะลดลงในปี 2568

ขณะที่ คาดว่า EBITDA ในปี 2568 จะเติบโตอยู่ในช่วง 8-10% โดยได้รับประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนจากค่าคลื่นความถี่ การรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน และยังได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางบัญชี ดังนี้

1.การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคลื่นความถี่ร่วมกับ NT ซึ่งปัจจุบันรับรู้เป็นทั้งรายได้และต้นทุน โดยมีผลกระทบเชิงลบสุทธิต่อ EBITDA เมื่อข้อตกลงนี้สิ้นสุดในวันที่ 3 ส.ค.2568 การจัดการคลื่นความถี่ดังกล่าวจะถูกบันทึกเป็นการซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่หลังการประมูล และจะถูกตัดจําหน่ายเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตนในภายหลัง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อ EBITDA เพิ่มขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อไตรมาส ซึ่งการจ่ายชำระเงินจะเป็นไปตามข้อกำหนดของ กสทช.

2.การโอนสินทรัพย์ไปยังกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล (DIF) หลังจากข้อตกลงการใช้คลื่นความถี่ 850 MHz กับ NT หมดอายุ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ EBITDA จํานวน 600 ล้านบาทต่อไตรมาส และมีผลกระทบเชิงลบต่อรายการภายใต้ EBITDA จํานวน 800 ล้านบาทต่อไตรมาส ในปี 2568 คาดว่าหนี้สินสุทธิจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท และจะค่อยๆ ลดลงในภายหลังจากการชำาระหนี้สินตามสัญญาเช่า อย่างไรก็ตามผลกระทบในส่วนนี้จะยังไม่ก่อให้เกิดภาระเงินสดผูกพันใหม่สำหรับทรู

ส่วนเงินลงทุนสำหรับปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 28,000-30,000 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

เตือนข่าวปลอม “หลอกลงทุนหุ้น OR” ระวังสูญเงิน - ข้อมูลส่วนบุคคล