posttoday

Trade War 2.0 พ่นพิษ! หุ้นไทยทิ้งดิ่งกว่า 43 จุด

03 กุมภาพันธ์ 2568

Black Monday! หุ้นไทยเทกระจาด ร่วงหนักกว่า 43 จุด แตะจุดต่ำสุด 1,270.87 จุด โดนพิษ "ทรัมป์" เดินหน้าขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโก 25% และจีน 10% พร้อมเก็บภาษี EU ต่อ โบรกแนะหลบภัยหุ้นปลอดภัย

ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดเทรดวันแรกเดือนกุมภาพันธ์ ร่วงหนักกว่า 43 จุด แตะจุดต่ำที่ 1,270.87 จุด ก่อนรีบาวด์ขึ้นมาทดสอบ 1,291.44 จุด ลดลง 23.06 จุด คิดเป็น -1.75% มูลค่าการซื้อขาย 24,527.89 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,300 จุดเนื่องด้วยแรงขายหุ้นบิ๊กแคปส์ DELTA - GULF - CPALL - AOT - CPAXT กดดันหนัก

หลังจากเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2568 ที่ผ่านมา "ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" ลงนามคำสั่งเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ก.พ.นี้ รายละเอียดดังนี้

• เก็บภาษีนำเข้าสินค้า 10% จากจีน
• เก็บภาษีนำเข้าสินค้า 25% จากเม็กซิโก
• เก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ 10% จากแคนาดา
• เก็บภาษีนำเข้าสินค้าอื่นๆ 25% จากแคนาดา

ล่าสุด เม็กซิโกและจีน ส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการขึ้นภาษีตอบโต้กลับสหรัฐฯ ส่วนแคนาดาได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ตอบโต้สหรัฐฯ แล้ว โดยมีมูลค่า 105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 40% ของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ

หากพิจารณามูลค่าการค้า “เม็กซิโก-แคนาดา-จีน” กับสหรัฐฯ ในปี 2566 อยู่ที่ 2.05 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของทั้งหมด อีกทั้ง สหรัฐฯขาดดุลการค้าสูงสุดกับ 3 ประเทศนี้ทำให้ถูกตกเป็นเป้าหมายแรกๆในการตั้งกำแพงภาษี

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ผลกระทบจากปรับขึ้นภาษีของ TRUMP BLOOMBERG ประเมินว่าจะส่งผลต่อการค้ามูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 43% ของการนำเข้าของสหรัฐฯ และเกือบ 5% ของ GDP ของสหรัฐฯ นอกจากนี้การดำเนินการนี้จะเพิ่มอัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ จากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 3% เป็น 10.7% ซึ่งจะเป็นการช็อคด้านอุปทานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนการประมาณการของ FED ชี้ให้เห็นว่าภาษีเหล่านี้อาจลด GDP ลง 1.2% และเพิ่มดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประมาณ 0.7%

ในแง่มุมของตลาดการเงิน ความกังวล TRADE WAR รอบใหม่ กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรงเช้านี้ โดยดัชนี DOWN JONES FUTURES ปรับตัวลดลงไปมากว่า 530 จุด (-1.18%) รวมถึงตลาดหุ้นในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น -2.2%, เกาหลีใต้ -2.4%, ไต้หวัน -3.2% ฝ่ายวิจัยฯแนะนำหุ้นหลบกำแพงภาษีทรัมป์ ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์กระจายฐานการผลิต อาทิ WHA, AMATA, ROJNA, PIN เป็นต้น และกลุ่มที่มีธุรกิจในสหรัฐ IVL,
BCPG, BANPU เป็นต้น  

DOWNSIDE ของ SET INDEX เวลาเจอประเด็นกดดันตลาดหนักๆ ปกติตลาดหุ้นไทยที่ลงมาลึกจนมี UPSIDE ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า กว้างสูงเกินระดับ +1 SD หรือราว 21.6% ซึ่ง TARGET SET 68F จาก BLOOMBERG 1,582 จุด แล้ว SET INDEX จะเริ่มย่อตัวน้อยลง โดยระดับ UPSIDE 1SD ของ SET INDEX ปัจจุบันอยู่ที่ 1,301 จุด

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้นักลงทุนกังวลกับการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน แคนาดา เม็กซิโก โดยปรับขึ้นแคนาดา เม็กซิโก 25% แต่สำหรับสินค้าพลังงานจากแคนาดาเหลือเพียง 10% ส่วนจีนก็ปรับขึ้นเพียง 10% ข้อมูลล่าสุดแคนาดาได้ตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนจีนเตรียมยื่นเรื่องฟ้องต่อ WTO
 
การปรับขึ้นภาษีนำเข้าจะทำให้ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้นและมีผลต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ รวมไปถึงการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จึงจะเห็นว่าทรัมป์ปรับขึ้นภาษีพลังงานจากแคนาดาเพียง 10% สวนทางกับสินค้าอื่นๆ ที่ปรับถึง 25% ดังนั้นราคาสินค้าพลังงานอาจถูกกดดันและเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานใน SET
 
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลางถึงยาวยังมองเป็นโอกาสสะสมจาก Valuation ที่ไม่แพง แต่เน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ส่งออก (ITC TU) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BDMS)

ปิโตรฯอ่วมสุด

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ คาดสงครามการค้าอาจส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความกังวลต่อเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และอาจทำให้การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดทำได้ยากขึ้น ในช่วงสั้นมีโอกาสที่ดอลลาร์ฯ และบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ จะรีบาวด์และอาจเห็นสกุลเงินในเอเชียและบาทอ่อนค่าลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินหยวนอ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้

การส่งออก และ GDP ของไทยนั้น ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบ แต่นักเศรษฐศาสตร์ของเราค่อนข้าง conservative อยู่แล้ว โดยมองว่ามูลค่าการส่งออกจะเติบโตเพียง 3% ในรูปดอลลาร์ฯในปีนี้

ทั้งนี้ผลกระทบต่อ "กลุ่มปิโตรเคมี" ความต้องการปิโตรเคมีในจีนและทั่วโลกอาจลดลงผ่านการชะลอตัวของการค้าโลกและความไม่แน่นอนของตลาด แม้ว่า IVLซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ผลิต PET รายใหญ่ในสหรัฐฯจะได้รับประโยชน์บ้างจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า 25% ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เนื่องจากอาจจะส่งผลให้ผู้นำเข้า PET ต้องหันมาซื้อ PET ที่ผลิตในประเทศแทน แต่ spread ของปิโตรเคมีอยู่ในระดับที่แย่อยู่แล้ว เพราะถูกกดดันจากอุปทานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ โดย spread ของ HDPE อยู่ที่ US$292/ton, spread ของ PP อยู่ที่ US$352/ton และ spread ของ PET ในเอเชียอยู่ที่ US$46/ton สำหรับไตรมาส 1/68 ถือเป็นระดับที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า US$500/ton, US$550/ton และ US$120/ton ตามลำดับ)

ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำซื้อ PTTGC ที่ราคาเป้าหมายปี 2568F เท่าเดิม 31 บาท และถือ IVL ที่ราคาเป้าหมายปี 2568F เท่าเดิม 25.50 บาท คาดทั้งสองบริษัทจะฟื้นตัวอย่างมากพลิกมามีกำไรในปี 2568F เนื่องจากไม่มี impairment loss ก้อนใหญ่เหมือนในปี 2567 รวมถึงการทำโครงการ cost-saving ต่างๆ

นอกจากนี้ยังมองเป็นลบทั้งในแง่ของ sentiment และคาดการณ์กำไรสำหรับ SCGP ราคาเป้าหมาย 15 บาท และ SCC (Not rated) โดยคาดว่ามีโอกาสที่ปัญหา oversupply ในฝั่งอุตสาหกรรม packaging และ chemicals จะยิ่งถูกซ้ำเติมมีมากขึ้น สะท้อนได้จากการที่ผู้ผลิตในจีนมีการเร่งนำเข้าสินค้าในเดือน ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา

ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าในช่วงครึ่งปีแรกการนำเข้าและการบริโภคภายในของจีนอาจจะอ่อนตัวลง เนื่องจากมี inventory ที่สูงอยู่แล้ว ทั้งนี้ SCGP และ SCC มีรายได้จากจีนในทางตรง 6% และ 23% ตามลำดับ ยังไม่รวมการส่งออกในทางอ้อม

ขณะที่ กลุ่มอาหาร มองเป็นลบเล็กน้อย คาดมีผลกระทบทางอ้อมที่มาจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีโอกาสแย่ลง อาจส่งผลต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปบางรายการที่มีสัดส่วนการส่งออกไปจีนสูง เช่นผลไม้และ ยางพารา อย่างไรก็ดีมองว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นส่งออกอาหารภายใต้การวิเคราะห์ของเราค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่มีสัดส่วนในการส่งออกไปจีนไม่สูงเทียบกับการส่งออกทั้งหมดรายสินค้า ได้แก่ ไก่ (10%) ส่วนสินค้าประเภทอื่นเช่นอาหารสัตว์เลี้ยง ข้าวโพดหวานกระป๋อง อาหารทะเลกระป๋องแปรรูป และเครื่องดื่มมีสัดส่วนต่ำกว่า 10% หุ้นที่มีการส่งออกไก่ไปจีน ได้แก่ BTG*, CPF*, GFPT และ TFG 

การส่งออกไก่ไทยไปจีนหดตัวในปี 2567 เนื่องมาจากกำลังซื้อจีนที่อ่อนแอ และส่วนใหญ่ผู้ประกอบการมีมุมมองค่อนข้างระมัดระวังตลาดจีนในปีนี้อยู่แล้ว โดย CPF อาจมีแนวโน้มมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นอื่น เนื่องจากมีธุรกิจฟาร์มหมูและอาหารสัตว์ขนาดใหญ่ในจีน (CTI) ด้านผลกระทบต่อวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่นกากถั่วเหลือง อาจเป็นผลบวกหากจีนมีการนำเข้าลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาในตลาดโลกลดลง อย่างไรก็ดี ราคากากถั่วเหลืองโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลงมาแรงในปีก่อน อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปีจึงไม่ได้คาดหวังการอ่อนตัวลงต่อเนื่องแรง

ข่าวล่าสุด

สินค้าจีนทะลัก กดดัน OEM พลิกธุรกิจสร้างแบรนด์รองเท้าสุขภาพ “Talon”