posttoday

ประธานบอร์ด ตลท. ใช้ AI คุมกำเนิด "หุ้นปั่น-โกง"

17 มิถุนายน 2567

"กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" ประธานบอร์ด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้ำชัดใช้ "AI" ตรวจสอบและจัดการหุ้นซื้อขายผิดปกติ หุ้นงบการเงินมีปัญหา คุมกำเนิดหุ้นปั่น หุ้นโกง

     ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) กล่าวในงานสัมมนา หุ้นไทย 2024 with the Dragon Fire "Discover New Opportunities" จัดโดยฐานเศรษฐกิจ ว่า ตลท.ให้ความสำคัญในเรื่องการใช้กระบวนการ AI หรือเทคโนโลยีในการตรวจสอบวิเคราะห์การซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติ ซึ่งผมได้เห็นการทดสอบทั้งหมดแล้วค่อนข้างน่าสนใจอย่างมากว่าจะสามารถพบข้อมูลอย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่ตลท.จะทำคือการแชร์ข้อมูลที่ได้ให้กับทาง ก.ล.ต. อย่างรวดเร็ว ณ วันนี้ยังเชื่อมจอยังไม่ได้ แต่เราจะเชื่อมจอได้

     นอกจากนี้ ฝ่ายตรวจสอบจะตั้งหน่วยงานเฉพาะ เพื่อดูแลหรือเจาะจงงบการเงินของบริษัทที่มีปัญหาหรือคาดว่าจะมีปัญหา เหมือน Special task force โดยใช้ทั้งระบบ Manual และ AI ในการมอนิเตอร์งบการเงิน เพื่อจะเตือนผู้ลงทุนให้เห็นถึงความอันตรายของหุ้นเหล่านั้น 

     อีกทั้งความร่วมมือในการใช้กฎหมาย ซึ่งผมย้ำเสมอว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจใดๆเลย เป็นแค่เรดาร์เตือนเท่านั้น หากตรวจพบความผิดปกติก็จะดำเนินการส่งเรื่องไปที่ ก.ล.ต. เพื่อดำเนินการ และอย่างที่ผมเรียนไปก่อนหน้านี้ว่า ต่อไปข้างหน้าเราจะนำข้อมูลงบการเงิน โดยใช้ AI ในการเปิดเผยข้อมูล , EPS , บทวิเคราะห์ของแต่ละบริษัทเป็นอย่างไรในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงการให้ความรู้ เพื่อไม่ให้นักลงทุนถูกหลอก เพื่อให้คนเข้าใจในเรื่องตลาดเงินและตลาดทุน การวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ซึ่งบริษัทที่อยู่นอกตลาดก็สามารถดูได้ 

     "เรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง โดยได้พูดคุยกับ ก.ล.ต. เรียบร้อย ถึงกระบวนการดำเนินคดีกับผู้ที่ดำเนินการที่ไม่ถูกต้องในตลาดทุน กระบวนการลงโทษอย่างเข้มงวดและบังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็ว โดยความร่วมมือของทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ , ก.ล.ต. , ปปง. , ตำรวจ , DSI , อัยการ และ ศาลฯ ถือว่าสำคัญมาก"

     ทั้งนี้ "ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่" ได้แสดงวิสัยทัศน์อันหนึ่งต่อคณะกรรมการ ตลท.ที่น่าสนใจอย่างมาก นั่นก็คือ อยากให้บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในประเทศไทยทำแผน 3 ปีว่าจะ Growth ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน(Return on Investment : ROI), อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์(Return on asset : ROA)ว่าจะมี Growth อย่างไร อย่างที่ทำทั้งในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี อาจจะมี Incentive หรือไม่ก็ต้องรอดูรายละเอียด

     "เชื่อว่าด้วยระบบ AI สามารถทำพวกนี้ได้ ทำให้เราเห็นเทรนด์ว่าบริษัทนี้มี Growth หรือ ไม่มี Growth ถ้าบริษัทไม่มี Growth อนาคตบริษัทก็อาจจะไม่ดี ถ้ามี Growth จ่ายปันผลบ้างก็อาจจะดีกว่าบริษัทที่จ่ายปันผลอย่างเดียว เป็นต้น ข้อมูลพวกนี้ใช้ข้อมูลอนาคตมาให้ผู้ลงทุนได้เห็น ปัจจุบันเราเห็นข้อมูลปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งในความเห็นผมมองว่าไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อะไร อาจจะใช้ดูว่าอนาคตจะดีหรือไม่ แต่การคาดการณ์แบบนี้อาจจะไม่ตรงนัก เป็นต้น"

     ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หน้าที่หลักของตลาดหลักทรัพย์ฯตอนนี้คือสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน พร้อมยกระดับการกำกับดูแล ในช่วงปี 2566 จนถึงไตรมาส 1/67 ทั้ง การเพิ่ม Volume Alert ของช่วง Auction, ปรับเกณฑ์เข้าจดทะเบียน, เตือนบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่มีปัญหาด้านการเงิน , ยกระดับการกำกับดูแล , ขึ้นเครื่องหมาย C แยกประเภท , การเพิ่มเหตุเพิกถอน บจ. นี่คือสิ่งที่ ตลท.จะทำ

     และสิ่งที่ ตลท.คุยกัน คือเรื่องของการทำ Short selling ที่มีข่าวว่า การทำอร์ตเซลล์ หรือ Robot Trade ทำให้ตลาดหุ้นตกจริงหรือไม่ ควรยกเลิกหรือไม่ ซึ่งมาตรการที่จะทำในช่วงไตรมาส 2/67 มีหลายเรื่อง ทั้ง การทบทวนหลักทรัพย์ที่ทำชอร์ตเซลล์ได้ รวมถึง Uptick rull ซึ่งผมคาดว่าจะประกาศใช้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ รวมถึงเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลคำสั่งที่ไม่เหมาะสม , การขึ้นทะเบียน HFT , การเพิ่มโทษของสมาชิกที่ทำไม่ถูกต้อง , การเปิดเผยข้อมูลเรื่อง NVDR หรือ การเปิดเผยข้อมูลการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน(Outstanding Short Positions) , เพิ่มเครดิตเบรครายหุ้น หรือ Dynamic Price Band ซึ่งอันนี้เราจะทำเพื่อให้ตลาดหุ้นมีความเสถียรและมั่นคงมากขึ้น 

     และในไตรมาส 3/67 เราจะทำเรื่องของมาตรการ Auction หุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับซื้อขาย นี่คือสิ่งที่เราจะทำ และในไตรมาส 4/67 ถือว่าสำคัญเช่นกันนั่นก็คือ เรื่องการสร้างแพลตฟอร์มที่จะทำให้บริษัทหลักทรัพย์ได้ตรวจดูว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีหุ้นที่ไหนบ้าง เพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุอย่างกรณี MORE ขึ้นอีก หรือการมี Auto Hault รายหุ้น เรื่องของการกำหนดขั้นต่ำออเดอร์ของหุ้นก่อนการยกเลิกคำสั่งนี่ก็คือประเด็นหนึ่ง

     สุดท้ายในช่วงต้นปี 2568 เราจะปรับเรื่องการจัดทำระบบกลางคัดกรองคำสั่งไม่เหมาะสม (Central Order Screening) และเรื่องของคุณสมบัติของบริษัทจดทะเบียน ทั้ง SET และ mai นี่คือสิ่งที่เราจะทำนี่คือเป็นการกำกับดูแล 

     อย่างไรก็ดี จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯวันนี้ GDP ของไทยปีนี้ราว 2.6-2.8% คาดการณ์ว่าจีดีพีน่าจะแตะระดับ 3% หวังว่าจะไม่ถูกลดจีดีพีอีก แต่ว่าประเทศอื่นก็ไปไกลมาก แต่ถ้าจีดีพีไทยแตะระดับ 3% โลกประมาณ 3.2% ก็ถือว่าไทยก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่ แต่ถ้าเทียบในอาเซียนอาจจะเหนื่อยนิดนึง แต่ไม่เป็นไร เราอาจจะมีปัญหาอย่างอื่นเยอะแยะมากมาย ทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือน ฯลฯ ค่อยๆแก้กันไป แต่แหล่งเงินได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นแหล่งของการบริโภค ดังนั้นพวก Consumer Product น่าจะดี เพราะงั้นถ้าเราดูประมาณการณ์เศรษฐกิจไทย ผมว่านักลงทุนและนักวิเคราะห์ติดตามตัวเลขนี้เช่นกัน 

     ซึ่งข่าวดีในไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมาก็คือ ถ้าเราดู EPS หุ้นและดัชนีหุ้นไทยถือว่าสูงกว่าปีก่อน ถ้าเทียบกับโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ยจะเห็นว่าเงินได้ของ EPS ล่วงหน้าสูงขึ้น อย่างพวกอาหาร เติบโต 111% ขนส่ง 38% โรงแรม 28% คอมเมิร์ซ 25% และ ไอซีที 20% ถือว่าน่าสนใจ ซึ่งผมก็อยากฝากให้ทุกท่านดูว่าจุดแข็งของตลาดหุ้นไทยมีกี่กลุ่มอุตสาหกรรม เท่าที่ดูคือกลุ่มโรงพยาบาล , ท่องเที่ยว ส่วนที่ 2 คือมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งไม่ทราบว่าเงินดิจิตอลจะมาเมื่อไหร่ และเรื่องที่ 3 คือ การย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย อีกทั้งบริษัทที่ส่งออก และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน บริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผล และมี Economy ซึ่งก็เป็นธุรกิจที่น่าจะดูเช่นกัน

     "หุ้นลุยไฟในปีมังกร ท่านอาจจะต้องสวมชุดลุยไฟในปีมังกรด้วย โดยเลือกปัจจัยว่าหุ้นประเภทไหนในระยะยาวจะเติบโตได้ "จงอดทน รอบคอบ ใจเย็น" ผมเชื่อว่าจะลุยไฟไปได้ สุดท้ายการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ถ้าเราลงทุนแล้วรวยวันนี้เราคงไม่มานั่งกังวลเท่าไหร่ หรือถ้าเมื่อไหร่ที่เปลี่ยนประธานบอร์ด หรือ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯแล้วหุ้นจะขึ้นแบบนี้คงต้องเปลี่ยนทุกวันหุ้นจะได้ขึ้นทุกวันแบบนี้ก็เปลี่ยนไม่ได้ทำไม่ได้ ตลาดทุนเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง สิ่งที่พวกเราต้องดูคือปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ หนี้ครัวเรือน ซึ่ง ตลท.ให้ความรู้นักลงทุน อย่าถูกหลอก และการฟื้นตัวไม่เท่าเทียมกันเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องดูแลภาพรวม และสุดท้ายคือความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมก็หวังว่าอย่าแล้ง และอย่าท่วม และอย่าเชื่อในข่าวลวง อย่าแชร์ข่าวลวง จนวิเคราะห์แยกแยะให้ดี"