posttoday

NEO พุ่ง 13.41% ตอบรับผลงานไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 272 ล้าน โต 49.5%

15 พฤษภาคม 2567

ราคาหุ้น NEO พุ่ง 13.41% ตอบรับงบไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 272 ล้านบาท โต 49.5% ตามรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 8.5% แตะ 2,472 ล้านบาท มั่นใจยอดขายปี 67 โตเลข 2 หลัก ตามเป้าหมาย ผ่านการนำเสนอสินค้านวัตกรรม ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO วันนี้ (15 พ.ค.) ล่าสุด เวลา 14.05 น. เพิ่มขึ้น 6.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13.41% มาอยู่ที่ 50.75 บาท ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 53.00 บาท และลงไปต่ำสุดที่ 47.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 679.62 ล้านบาท 

NEO พุ่ง 13.41% ตอบรับผลงานไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 272 ล้าน โต 49.5%

หลังจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 11.0% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 8.0% ในไตรมาสเดียวกันปีก่อน และมีรายได้จากการขายรวม 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 

โดยการเติบโตของรายได้จากการขายมาจากสินค้าหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กและผู้ใหญ่ ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำเด็กและผู้ใหญ่ และผลิตภัณฑ์โรลออน ซึ่งเป็นไปตามการวางกลยุทธ์เพื่อมุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง 

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและมีคุณภาพระดับสากล บริษัทได้นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นหลายรายการในช่วงต้นปีทีผ่านมา อาทิ ไฟน์ไลน์เอ็กซ์ตร้า เฟรช ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ซึ่งมาพร้อมกับ Malodor Control เทคโนโลยีกระจายกลิ่นหอม เมื่อเจออากาศร้อน เหงื่อและความชื้น จึงตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนได้อย่างดี 

นอกจากนี้ การบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 (อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย) ตามแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มรายได้ระดับกลาง-บน ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ดี และจากสภาพอากาศในฤดูร้อนย่างสู่ฤดูฝน ผู้บริโภคมีความต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ โคโลญ แป้ง และโรลออน คาดว่าการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะมีความคึกคัก 

ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคยังมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามลำดับจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคเติบโตอย่างต่อเนื่อง และด้วยการวางกลยุทธ์การตลาดอย่างแข็งแกร่ง บริษัทมั่นใจว่ายอดขายในปี 2567 จะสามารถเติบโต Double Digits ได้ตามเป้าหมาย

นายสุทธิเดช กล่าวว่า ตลอดปี 2567 บริษัทจะมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเอาความแข็งแกร่งของบริษัทที่ยึดหลักผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Consumer Centric) และความเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภคในเชิงลึก (Consumer Insights) ผ่านการทำวิจัยตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นอีก 50-100 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท 

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตจากตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2567 ได้บรรลุข้อตกลงกับผู้จัดจำหน่ายสินค้าเพิ่มเติมอีก 2-3 ประเทศ จากเดิม 16 ประเทศ และมีแผนโรดโชว์งานแสดงสินค้านานาชาติในอีกหลายประเทศ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบริษัท หลังจากที่บริษัทไม่สามารถออกเดินทางไปต่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อนึ่ง NEO ได้แตกไลน์แบรนด์ดีนี่ (D-nee) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงวัย (Silver Age) ภายใต้ซับแบรนด์ ดีนี่ ดีลักซ์ (D-nee Deluxe) โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้า และครีมบำรุงผิว ที่มีเทคโนโลยีระงับกลิ่นเฉพาะตัวของผู้สูงวัยแต่ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยน

ทั้งนี้ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เจาะกลุ่มผู้สูงวัย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) คิดเป็นสัดส่วน 20% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 29% ในปี 2580 หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12% ของเศรษฐกิจไทยในอีก 7 ปีข้างหน้า จากการเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% และคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้สูงวัยจะกลายมาเป็นกลุ่มที่่มีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ (ข้อมูลจากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS)