posttoday

บิ๊กรับเหมา 'CK-STEC'คึกคัก พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 เข้าสภาฯสัปดาห์หน้า

15 มีนาคม 2567

ผ่าเกมหุ้นรับเหมา CK - STEC สัปดาห์หน้า พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 เข้าสภาฯ พร้อมเปิดงานประมูลครึ่งปีหลังโครงการเมกะโปรเจคเพียบ รวมมูลค่ากว่าแสนล้านบาท โบรกมองสตอรี่บวกเฉพาะตัวแน่น

     ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น CK ปิดการซื้อขายเช้านี้(15 มี.ค. 2567) อยู่ที่ 24.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท คิดเป็น +1.67% มูลค่าการซื้อขาย 243.39 ล้านบาท

     ราคาหุ้น STEC อยู่ที่ 10.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท คิดเป็น +3.85% มูลค่าการซื้อขาย 90.07 ล้านบาท

     ราคาหุ้น CNT อยู่ที่ 1.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.22 บาท คิดเป็น +15.71% มูลค่าการซื้อขาย 133.79 ล้านบาท

     ราคาหุ้น BE8 อยู่ที่ 28.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท คิดเป็น +0.90% มูลค่าการซื้อขาย 29.58 ล้านบาท

 

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า หุ้น CK, STEC เคลื่อนไหวนำตลาด แรงหนุนสัปดาห์หน้าคาดงบประมาณปี 2024 จะเริ่มคืบหน้า โดย วันที่ 20-21 มี.ค. จะเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ของ ส.ส. หลังจากนั้น คาดเข้าสู่การพิจารณา ส.ว. และทูลเกล้า คาดเริ่มมีผลเบิกจ่ายได้ ต้นเดือน เม.ย. โดยโครงการใหญ่ที่จะคาดประมูลได้เร็วในช่วงครึ่งแรกปีนี้ คือ กลุ่มที่ ครม. อนุมัติไว้แล้ว รถไฟรางคู่ ช่วงขอนแก่น - หนองคาย (2.9 หมื่นล้านบาท) ทางด่วน จตุโชติ – ลำลูกกา (1.9 หมื่นล้านบาท)

     เชิงกลยุทธ์ ฝ่ายฯมองกระแสลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ภาครัฐฯกลับมาคึกคักชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/67 ผสานหุ้นหลักในกลุ่มยังลงทุนได้ทั้งหมด ทั้ง CK ราคาเป้าหมาย 28 บาท STEC ราคาเป้าหมาย 12 บาท นอกจากนี้ ให้จับตาหุ้นกลุ่ม Digital Tech อย่าง BE8 ราคาเป้าหมาย 47 บาท ที่รับงานภาครัฐฯ คิดเป็น 30% ของรายได้ ทั้งนี้ นักลงทุนที่เน้นเก็งกำไรระยะสั้น ให้วางกรอบลงทุน ดังนี้ 

     CK วางแนวรับ 23.7 / 23.1 บาท แนวต้าน 25.25 / 25.75 บาท Stop Loss 23 บาท

     STEC วางแนวรับ 10.3 / 10.1 บาท แนวต้าน 11 / 11.4 บาท Stop Loss 9.95 บาท

     BE8 วางแนวรับ 26.25 / 25.5 บาท แนวต้าน 28.25 / 29 บาท Stop Loss 25 บาท

 

รอเมกะโปรเจคครึ่งปีหลัง

           ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการ "บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC" ในไตรมาส 1/67 ฝ่ายฯคาดทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อย QoQ จากค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาที่จะลดลง แต่ยังชะลอลง YoY จาก GPM ที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อน และบริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนทั้งจาก รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพูเต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก แม้ผลประกอบการระยะสั้นอาจไม่โดดเด่น แต่ฝ่ายฯประเมินว่าเป็นปัจจัยที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว และประเมินว่า STEC จะกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ได้อีกครั้งใน ปี 2067 (พ.ศ.2610) จากค่าใช้จ่ายพิเศษต่างๆที่เกิดขึ้นในปี 2066 (พ.ศ.2609) ลดลง อาทิ ค่าคืนพื้นผิวจราจร รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และค่าใช้จ่ายซ่อมแซมบึงหนองบอน รวมถึงมีโอกาสในการได้รับเงินเคลมประกัน คืน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างประเมินมูลค่ากับทางบริษัทประกัน เป็น Upside ต่อ GPM

     ทั้งนี้ ครึ่งหลังปี67จะกลับมาน่าตื่นเต้นอีกครั้งจากการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของรัฐฯ ปัจจุบัน STEC มี Backlog อยู่ที่ 9.57 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าหากไม่รวมสนามบินอู่ตะเภาที่ 2.7 หมื่นล้านบาท Backlog จะอยู่ที่ 6.86 หมื่นล้านบาท ส่วนงานโครงการใหม่ที่มีการเซ็นสัญญาได้แก่ งานโรงไฟฟ้าเอกชน จํานวน 5 โรงมูลค่ารวม ราว 5,824 ล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดจะถูกรับรู้รายได้ภายในปี 2567 เป็น Upside ต่อ ประมาณการรายได้เดิมของเรา 

     ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี67 งานโครงการภาครัฐฯขนาดใหญ่ที่คาดมีโอกาสในการประมูลคือ 1) ทางด่วนจตุโชติ-ลําลูกกา มูลค่า 1.94 หมื่นล้านบาท และ 2) รถไฟรางคู่ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 2.94 หมื่นล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการสามารถประมูลได้เลยโดยไม่ต้องรอ พรบ.งบประมาณปี 2567 

     ขณะที่งานโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ คาดจะทยอยเห็นความชัดเจนใน 2H67 เป็นต้นไป และการเลื่อนออก ร่างพรบ.งบประมาณปี 2567 เร็วขึ้นเป็นเดือน เม.ย. จากเดิมในเดือนพ.ค. เป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม ซึ่งทํา ให้การเดินหน้าประมูลโครงการต่างๆทําได้เร็วขึ้น 

     ฝ่ายฯประเมินมูลค่างานโครงการที่คาดจะประมูลในช่วงครึ่งหลังปี67 อีกราว 1.33 แสนล้านบาท โดย STEC ตั้งเป้าได้โครงการใหม่เพิ่มราว 4-5 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ปรับลดกําไรปี 2567-2568 ลง สะท้อนส่วนแบ่งขาดทุนสายสีเหลือง-ชมพู นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าในการขยายสัดส่วนรายได้จากงานโครงการเอกชนมากขึ้นในปี 2567 ซึ่งจะเป็น บวกต่อแนวโน้ม GPM ของบริษัท ทําให้ฝ่ายฯปรับสมมติฐานรายได้และ GPM ของบริษัทขึ้น อย่างไรก็ตาม ประมาณการกําไรปกติปี 2567- 2568 ถูกปรับลง 20% และ 5% เป็น 566 ล้านบาท (+12.3% YoY) และ 730 ล้านบาท (+28.9% YoY) ตามลําดับ เพื่อสะท้อนส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสีเหลือง-ชมพู ที่สูงกว่าคาด

     แม้ประมาณการกําไรถูกปรับลง แต่เราคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มกําไรในระยะยาวของ STEC จากการ ปรับโครงสร้างของธุรกิจ และงานภาครัฐฯที่จะมากขึ้นใน 2H67 เป็นต้นไป นอกจากนี้เราประเมินการ แข่งขันในอุตฯลดลงจากผู้รับเหมาบางรายที่ประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง เป็นบวกต่อ STEC ที่มีฐานะ การเงินแข็งแกร่ง เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 11.30 บาท จากการปรับ PER ในการประเมินมูลค่าขึ้น เป็น 30.4X (+1.0SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง) จากเดิม 22.0x สะท้อนโอกาสในการได้งานหนุน Backlog ในอัตราเร่งจากการใช้งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ ปรับคําแนะนําขึ้นเป็น “ซื้อ”

CK งานใหญ่รออยู่

     สำหรับ "บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK" ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินโครงการภาครัฐฯจะทยอยมีความชัดเจนมากขึ้นหลังช่วงเดือน พ.ค. เป็นต้นไป โดยโครงการที่มีความชัดเจนมากสุดในปัจจุบันและคาดมีโอกาสเปิดประมูลได้ในช่วงปลายครึ่งแรกปี67 คือ 1) รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท และ 2) ทางพิเศษจตุโชติ-ลำลูกกา มูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท 

     นอกจากนี้ CK ยังมีโอกาสได้งานจาก BEM อาทิโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 1.09 แสนล้านบาท ที่รอครม.อนุมัติ

     ฝ่ายฯคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ CK คงกำไรปกติปี 2567 ที่ 2,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.8% YoY หนุนจากธุรกิจรับเหมาฯ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM และ CKP ที่สูงขึ้น คงราคาเป้าหมายที่ 26 บาท มี Upside จากโอกาสในการได้งานโครงการขนาดใหญ่ที่รอการประมูลเพิ่มเติม คงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ทยอยซื้อ CK - STEC 

    ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ภาพรวมกลุ่มรับเหมาฯปี 66 กําไรไม่สวยหรู เทียบปีก่อนมี Net Profit Margin ที่ลดลง โดยสิ้นงวดไตรมาส 4/66 ถูกกดดันจาก Backlog ที่ทยอยลดลงทั้งคู่ ซึ่ง CK จากสิ้นงวดไตรมาส 3/66 ที่ 137,879 ล้านบาท สู่สิ้นงวดไตรมาส 4/66 ที่ 128,535 ล้านบาท 

     ขณะที่ STEC ลดจากสิ้นงวดไตรมาส 3/66 ที่ 98,325 ล้านบาท สู่สิ้นงวดไตรมาส 4/66 ที่ 95,685 ล้านบาท เป็นเครื่องสะท้อนว่ายังขาดโครงการใหม่เข้ามาหนุน Backlog ในช่วงที่ผ่านมา

     ด้าน Gross Profit Margin และ Operating Profit Margin งวดไตรมาส 4/66 ทั้ง CK และ STEC มีภาพของการลดลงทั้งแบบ q-q และ y-y สะท้อนว่าต้นทุนยังตึงตัว

     กําไรงวดปี 66 CK อยู่ที่ 1,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%y-y Net Profit Margin ลดลงจากปี 65 ที่ 5.62% สู่ปี 66 ที่ 3.95% ขณะที่ STEC อยู่ที่ 528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%y-y Net Profit Margin ลดจากปี 65 ที่ 2.80% ปี 66 ที่ 1.77%

     ปัจจัยบวกเริ่มมีทําให้เริ่มเห็นความสดใส โดยยังมีความหวังกับโครงการ 1) Landbridge ซึ่งเป็น Mega Project ของไทยจะช่วยหนุน GDP ภาคใต้ และหากมีแนวโน้มผ่านจะส่งผลดีต่อ Backlog ให้สูงขึ้น 2) ลุ้นสัปดาห์นี้ นายกฯจะแถลงผลดําเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาล ซึ่งคาดจะกล่าวถึงโครงการก่อสร้างภาครัฐที่มากขึ้น 

     นอกจากนี้ พรบ.งบประมาณที่เลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้น และจะประกาศในราชกิจจาฯ เม.ย.นี้ คาดว่าจะมี Project เข้าประมูลอีกราว 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมาช่วยหนุนกลุ่มรับเหมาให้เติบโต 

     สําหรับงานสําคัญที่รอประมูลปี 67 ได้แก่ รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย (2.94 หมื่นล้านบาท), ทางด่วน จตุโชติ (1.9 หมื่นล้านบาท) และ ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง (1.78 หมื่นล้านบาท) เป็นต้น สําหรับ STEC แม้จะมี Net Profit Margin ที่ต่ำกว่า CK แต่ในปีนี้มีแผนปรับโครงสร้างใหม่ คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 3/67 ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์จากการเป็น Holding และช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทกระจายรายได้สู่ หลายช่องทางไปยังธุรกิจอื่น

     ทางฝ่ายฯมองราคาพื้นฐาน CK ที่ 26.75 บาท และ STEC ที่ 11.90 บาท ทั้งคู่มี Upside เพียง 12-13% สะท้อนว่าราคาปัจจุบันขึ้นมารับอนาคตที่จะทยอยฟื้นตัวแล้ว จึงแนะนํานักลงทุน “ทยอยซื้อ”