posttoday

ตลท.เร่งเครื่องโรดโชว์ต่างประเทศฟื้นเชื่อมั่น หวังดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ

11 มีนาคม 2567

"ดร.ภากร ปีตธวัชชัย" เดินหน้าโรดโชว์ต่างประเทศฟื้นเชื่อมั่น เล็งเจาะฐานนักลงทุนตะวันออกกลาง-สิงคโปร์-อังกฤษ-ฮ่องกง-สหรัฐฯดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ ฟาก "ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร"ชี้เฟดลดดอกเบี้ยเงินไหลเข้าตลาด EM ทันที

     ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.เดินทางนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ให้แก่นักลงทุนในประเทศออสเตรเลีย สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ อย่าง ออสเตรเลีย มองว่าจะทำอย่างไรที่จะ Diversify เงินออกจากประเทศใหญ่ๆมาในตลาดเกิดใหม่ EM หรือ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น 

     ถามว่า ฟันด์โฟลว์จะไหลกลับมาได้อย่างไร ส่วนตัวคิดว่าหากดอกเบี้ยสหรัฐฯเริ่มปรับตัวลดลง คาดว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินที่ไหลออกมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯไหลมายังตลาด EM มากขึ้น

     และแน่นอนว่าปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจ และ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาได้เร็วขึ้น ถ้าเศรษฐกิจในประเทศไทยฟื้นตัวได้เร็ว สิ่งที่ผมค่อนข้างมีความมั่นใจคือ ความสามารถในการเจริญเติบโตของบริษัทที่เกิดจากปริมาณเงินลงทุนในประเทศมีค่อนข้างมาก ธนาคารพาณิชย์มีเงินทุนกองทุนเกือบ 20% หนี้สาธารณะแค่ 61% ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ากระทรวงการคลังขายพันธบัตรออมทรัพย์หมดภายในไม่ถึง 2% ดังนั้นจะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนในประเทศมีเยอะมาก 

     ฝั่งตลาดทุนไทยยังมีความสามารถในการออกไอพีโอใหม่ๆได้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าถ้าเศรฐกิจฟื้นตัวและมีการระดมทุนเพิ่มขึ้นจะยิ่งทำให้เงินทุนไหลกลับเข้ามามากขึ้น

     "หลังจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมโรดโชว์กลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง , สิงคโปร์ , อังกฤษ , ฮ่องกง และ สหรัฐฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น กระจายฐานนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น พร้อมกับอัพเดตข้อมูลถึงพัฒนาการต่างๆของตลาดหุ้นไทย ซึ่งในปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาด อยู่ที่ 50% ถือว่าเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างสูงกว่าที่ผ่านมาอยู่ที่ 35-40%"

 

มาตรการสกัดหุ้นร้อนได้ผลแค่ไหน ?

     มาตรการของตลท.จะบอกว่าใช้ไม่ได้ผลก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้จะเห็นว่าราคาหุ้นบางตัวที่ ตลท.กังวลเริ่มมีการปรับตัวลดลง แน่นอนว่าเรื่องต่างๆต้องใช้เวลาและใช้หลายๆมาตรการในการช่วยกัน ตราบใดที่ ตลท.ยังไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดมากกว่านี้ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เห็น ตลท.มีการใช้มาตรการระดับ 1 , 2 , 3 และ ใช้เครื่องหมาย SP รวมถึงมีการออกมาเตือน มีการให้ข้อมูลมากขึ้น

     ซึ่งในอนาคตหากสิ่งที่ ตลท.กำลังนำเสนอได้นำมาใช้ ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีมาตรการที่ทำให้การควบคุมสามารถทำได้เร็วขึ้นมากกว่านี้ แต่ตอนนี้มาตรการที่ ตลท.มีสามารถควบคุมราคาต่างๆที่มีการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นอย่างไร

     "ความคืบหน้าการหารือ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการห้ามเทรดหุ้นร้อนต่างๆ ตอนนี้ ตลท.เร่งรีบทำเฮียริ่งมาตรการต่างๆให้ออกมาเร็วที่สุด อะไรก็ตามที่สามารถทำได้โดย ตลท.เอง เราจะมีการเฮียริ่งและขออนุมัติจากบอร์ด ส่วนอะไรที่ต้องขออนุมัติจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราก็รีบทำเช่นกัน

     เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ จะมีมาตรการต่างๆที่เรานำมาอธิบายให้เห็นภาพก่อนหน้านี้ออกมาต่อเนื่อง อันไหนทำได้ก่อนจะออกมาก่อน ทุกอย่าง ตลท.พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด"

เฟดหั่น ดบ.-กำไรฟื้นดึงฟันด์โฟลว์

     ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า แนวโน้มเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยปี 2567 ก่อนอื่นต้องมองภาพใหญ่ของโลก ภาพฟันด์โฟลว์เข้าหรือออกตัวผลักดันสำคัญ คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งจะเห็นว่าในเดือน ม.ค.67 ฟันด์โฟลว์ไหลกลับไปยังสหรัฐฯค่อนข้างเยอะเพราะนักลงทุนมองว่าเฟดมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยไม่เร็วมาก พอเดือน ก.พ.67 จะเห็นว่าฟันด์โฟลว์ไหลเข้าทุกตลาดของ Emerging Market (EM) สะท้อนภาพโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ราว 3-4 ครั้ง

     ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เช่น ความสำคัญการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน หรือ อัตราดอกเบี้ยไทยหากมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาได้ แต่หากดูบรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะเห็นว่ามีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็น EM มากขึ้น แต่ไม่ได้ Bullish มาก เป็นลักษณะมองบวกแต่บวกอย่างระมัดระวัง

   "การโรดโชว์ถือเป็นหนึ่งในการดึงเม็ดเงินลงทุน ซึ่งที่ผ่านมา ตลท. มีการโรดโชว์ประเทศออสเตรเลีย โดยมี 2 กิจกรรม คือ นายกฯไปร่วมงานอาเซียน-ออสเตรเลียซัมมิท ทางตลท.ช่วยออแกไนซ์ให้กองทุนขนาดใหญ่คือ กองทุนเอสตราของออสเตรเลีย เป็นเรื่องของบำนาญของพนักงานที่เกี่ยวกับสาธารณะสุขมีสินทรัพย์ราว 2 ล้านล้านบาท

     อีกกิจกรรม คือ อาเซียน ซีอีโอ โรดโชว์ มีกองทุนออสเตรเลียเข้าร่วม 17 กองทุน แม้จำนวนไม่เยอะ แต่มูลค่ากองทุนแต่ละกองมีขนาดใหญ่มาก มีสินทรพย์บริหารรวมมูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 6 ล้านล้านบาท ถือเป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นไทยบางส่วนแต่ยังไม่เยอะ

     ทั้งนี้ ทางกองทุนฯสนใจลงทุนที่เกี่ยวกับ Health , Well Being , ESG ฯลฯ ถือเป็นจุดแข็ง และการโรดโชว์ครั้งนี้มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมคือ BDMS และ CPN ซึ่ง 17 กองทุนให้ความสนใจ"

     สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย เดือน ก.พ.2567 SET Index ปิดที่ 1,370.67 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ปรับลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 47,265 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 29.5% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 2 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 47,185 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,246 ล้านบาท ทำให้ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 27,624 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 22

     ส่วน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า

     "เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.พ.67 สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลจากการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทย โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี67 อยู่ที่ 2.2-3.2% ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจมาจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก และการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคตามการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งนักวิเคราะห์เริ่มปรับประมาณการกำไรของบริษัทในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ราคาหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งในและต่างประเทศ นักวิเคราะห์ให้คำแนะนำกับผู้ลงทุนเข้าซื้อหุ้นตามธีม High Dividend เพราะนอกจากจะได้รับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ (Passive Income) หุ้นกลุ่มนี้ยังมีผลตอบแทนชนะ SET Index อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหุ้น High Dividend ยังมีคุณลักษณะเป็นหุ้นปลอดภัย (Defensive) โดยสังเกตจากค่า Beta ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด"