posttoday

KTB ร่วง 10.50% นำกลุ่มแบงก์ เซ่นกำไรไตรมาส 4/66 ต่ำคาด

22 มกราคม 2567

ราคาหุ้น KTB ดิ่งนำกลุ่มแบงก์ เซ่นพิษกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ต่ำคาด เหตุสำรองสูง เช่นเดียวกับ KKP รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยกดดันกำไรไตรมาส 4/66 ต่ำคาด โบรกฯ หั่นกำไรสุทธิปี 67-68 ของ KTB ลงปีละ 8% ปรับเป้าเหลือ 20 บาท/หุ้น ลดคำแนะนำเป็น “TRADING BUY”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ม.ค.) ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ล่าสุด เวลา 15.17 น. อยู่ที่ 16.20 บาท ลดลง 10.50% หรือลดลง 1.90 บาท 

ราคาหุ้น ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP อยู่ที่ 46.25 บาท ลดลง 3.65% หรือลดลง 1.75 บาท 

ราคาหุ้น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK อยู่ที่ 121.50 บาท ลดลง 3.19% หรือลดลง 4.00 บาท 

ราคาหุ้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB อยู่ที่ 104.50 บาท ลดลง 0.48% หรือลดลง 0.50 บาท 

ราคาหุ้น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY อยู่ที่ 27.25 บาท ลดลง 0.91% หรือลดลง 0.25 บาท 

ราคาหุ้น บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO อยู่ที่ 97.50 บาท ลดลง 0.26% หรือลดลง 0.25 บาท 

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับลงเป็นส่วนใหญ่ (KBANK, KTB) ประเมินว่าเป็นผลจากผลประกอบการไตรมาส 4/2566 โดย KTB กำไรไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6.1 พันล้านบาท (-25%YoY -41%QoQ) แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัว 23%YoY และกำไรก่อนสำรองขยายตัว 15%YoY อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิหดตัวหนัก (-25%YoY) และต่ำกว่าคาด 32% เป็นผลจากสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น (+74%YoY) เพราะลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง 

ขณะที่ KBANK ราคาหุ้นปรับลง แม้ผลประกอบการไตรมาส 4/2566 จะดีกว่าคาดราว 7% แต่คุณภาพลูกหนี้เห็นสัญญาณอ่อนแอจากการที่ลูกหนี้ชั้น 2 (Stage 2) เร่งตัวขึ้นจาก 1.79 แสนล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.2566 มาเป็น 1.85 แสนล้านบาท พร้อมกับลูกหนี้ชั้น 3 (Stage 3) ก็เร่งตัวขึ้นเช่นกันจาก 8.7 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.2566 มาเป็น 9.2 หมื่นล้านบาท 

นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ในภาพรวมยังโดนแรงกดดันจากดอกเบี้ยที่มีโอกาสที่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับขึ้นแล้วจากนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถทำกำไรลดลง โดยเฉพาะส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) และท้ายที่สุดกระทบกับกำไรสุทธิ

บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า มีมุมมอง Negative ต่อกำไรสุทธิของ KTB ในไรมาส 4/2566 ที่ 6.11 พันล้านบาท ต่ำกว่าเราและตลาดคาดมาก เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) สูงกว่าคาด เพราะมีการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลง กดดันกำไรลดลง -25%YoY และ -41%OoQ สำหรับสินเชื่อ ลดลง -0.6% YoY และ -2.0% OoQ คิดเป็น -0.6% YTD จากสินเชื่อภาครัฐ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio ที่ 3.08% ลดลงจาก 3.10% ในไตรมาส 3/2566 จากผลประกอบการไตรมาส 4/2566 ออกมาต่ำกว่าคาดมาก 

ดังนั้นปรับกำไรสุทธิปี 2567-2568 ลงปีละ -8% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) สูงกว่าคาด ทำให้ราคาเป้าหมาย ปี 2567 ปรับลงเหลือ 20 บาท จากเดิม 25 บาท และถอด KTB ออกจาก Top Pick ของกลุ่มธนาคาร ทั้งนี้ มองว่าผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนจากลูกค้ารายใหญ่รายนี้จำกัด จาก KTB ตั้งสำรองในกรณีที่แย่สุดแล้ว ดังนั้น ปรับคำแนะนำลงเป็น “TRADING BUY” จากเดิม “BUY”

นอกจากนี้ มีมุมมอง Negative ต่อกำไรสุทธิของ KKP ในไตรมาส 4/2566 ที่ 670 ล้านบาท ต่ำกว่าเราและตลาดคาดมาก จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) โดยกำไรลดลง -53%YoY และ -48%QoQ เพราะ 1.ไตรมาสไตรมาส 3/2566 มีการรับรู้รายได้ก้อนใหญ่จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ 

2.รับรู้ขาดทุนจากการลงทุน (FVTPL) 3.ไม่มีกำไรจากการขาย NPL เหมือนไตรมาส 4/2565 4.การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ จากตลาดทุน 6.ขาดทุนรถยึดเพิ่มขึ้นที่ -1.40 พันล้านบาท เทียบกับ -644 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2565 และ -1.34 พันลบ. ในไตรมาส 3/2566 

โดยภาพรวมยังไม่ชอบ KKP เพราะอุตสาหกรรมตลาดเช่าซื้อยังไม่ดี โดยสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ KKP ส่งผลให้สถานการณ์รถยนต์ยึดยังน่ากังวล คงคำแนะนำ “REDUCE” และคงรารคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 45 บาท