ตลท.กางแผน 3ปียกระดับตลาดทุน-สรุป Naked Short ไตรมาส 1/67
"ภากร ปีตธวัชชัย" กางแผน 3 ปีตลาดหลักทรัพย์ฯ "ยกระดับความเชื่อมั่น-การแข่งขัน-ขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืน" พร้อมเร่งเครื่องสรุปแผนป้องกัน Naked Short Selling - High Frequency Trading ในไตรมาส 1/2567
"แผนงานปี 2567-2569 ตลาดหลักทรัพย์ฯให้ความสำคัญ 3 เรื่องสำคัญเช่นเดิมคือ 1.ยกระดับเชื่อมั่นตลาดทุน 2.ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องแข่งขันได้ และ 3.สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน สิ่งที่เราหวังจะเห็นคือการพัฒนาและสร้างการเติบโตต่อเนื่อง การที่เรามาปรับ สามารถแข่งขันได้ในอนาคต
ขณะที่มาร์เก็ตแคปปีนี้อาจต้องดูใน 2 ส่วน ตือ 1.ดัชนีหุ้นไทยยืนอยู่ในจุดไหน และ 2.ปริมาณหุ้นไอพีโอที่จะเข้ามามากน้อยแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมา ช่วงที่ดัชนียืนระดับสูงจะเห็นว่ามาร์เก็ตแคปไต่ระดับสูงเช่นกัน ซึ่งไอพีโอปีนี้มียื่นไฟลิ่งกว่า 40 บริษัททั้ง SET และ mai ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบริการ, อสังหา และ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ และดิจิทัล เป็นต้น ขณะที่ตลาด LiveX มีบริษัทสนใจเข้ามาราว 3 แห่ง"นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวในงานแถลงแผนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯปี 2567
ด้านการกำกับดูแล ตลท.มีแนวทางการดำเนินงานจากนี้ต่อไปในอนาคต คือ การให้ข้อมูลมากขึ้น ซึ่งในอดีตการให้ข้อมูลอาจต้องรอ ณ สิ้นไตรมาส แต่ในอนาคตจะทำอย่างไรให้มีข้อมูลเร็วขึ้น แต่ถ้าไม่มีคนมาวิเคราะห์ข้อมูลนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือเมื่อมีข้อมูลแล้วต้องใช้ข้อมูลนั้นให้เกิดประโยชน์ ซึ่งนักวิเคราะห์จะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้
สิ่งที่ ตลท.จะใช้เป็นเกณฑ์คือตัวเลขดังกล่าวแตกต่างจากในอดีตอย่างไร เช่น กรณีหุ้น STARK ตลท.เห็นตัวเลขการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ทั้งข้อมูลทางการเงินต่างๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีนักวิเคราะห์ออกมาให้ข้อมูล นี่เป็นตัวอย่างที่เรามองว่าทำไมข้อมูลถึงสำคัญ
สรุปชัด Naked Short
เรื่องการกำกับดูแลการซื้อขาย Naked Short Selling และ High Frequency Trading (HFT) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย กรณีต่างๆที่ได้ยินมาตลาดหลักทรัพย์ฯตรวจสอบทุกเคส แต่สิ่งที่ ตลท.พบคือไม่ได้เกิดจาก HFT หรือ Naked Short Selling แต่เกิดจากคนที่มีหุ้นเอาหุ้นมาขายและตลท.ทราบว่าเป็นใครที่มีหุ้นซื้อขายอย่างไร ตลท.เห็นหมดในช่วงระหว่างวัน แต่มันไม่ผิดอะไรเพราะเค้ามีหุ้นมีความตั้งใจจะขาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือในอนาคตจะป้องกันเรื่องการชี้ทางให้ผิดได้อย่างไร
เบื้องต้นทาง"โอลิเวอร์ ไวแมน"ที่ปรึกษาสรุปแผนเสร็จในเดือน ก.พ. จากนั้น ตลท.จะนำเรื่องไปสรุปกับ ก.ล.ต. และเปิดเฮียริ่ง เพื่อเสนอว่าจะมีมาตรการอะไรในการปรับปรุงบ้าง คาดว่าจะสรุปชัดเจนในสิ่งที่สามารถทำได้ทันที ภายในไตรมาส 1/67 แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้เพราะต้องรอให้ได้ข้อสรุปจาก "โอลิเวอร์"
สำหรับกระบวนการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนเคสที่ผ่านมานั้น ต้องเริ่มจาก 1. PREVENTION คือการจะทำอย่างไรที่จะให้ข้อมูลต่างๆแก่นักลงทุนได้มากขึ้น รวดเร็วทันเวลามากขึ้น 2. ESCALATION กล่าวคือจะหยิบยกเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญให้คนเห็นว่าสำคัญจริง และ 3. PROSECUTION การฟ้องร้องว่าทำผิด ซึ่งจะทำอย่างไรให้เรื่องพวกนี้ทำได้เร็วขึ้น นี่คือกระบวนการแก้ไขไม่ใช่แค่เรื่องเดียว ต้องทำทั้งกระบวนการ
"กระบวนการตรวจสอบใช้เวลาอยู่แล้วเพราะเป็นการฟ้องร้องคดีอาญา ถ้าจะฟ้องร้องคดีแพ่งก็ทำได้เร็วขึ้น แต่จะทำอย่างไรให้มี PREVENTION ได้มากขึ้น ให้ข้อมูลเร็วขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในโลกอนาคตที่จะทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องรอกระบวนการตัดสินว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ซึ่ง ตลท. และผู้ที่เกี่ยวข้องการกำกับดูแลกำลังดูเรื่องนี้อยู่ว่าจะทำอะไรได้มากขึ้นและเร็วขึ้นอย่างไร"
ภาพรวมเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทยปี 2567 นี้ การท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นจากปีที่แล้วแม้ว่านักท่องเที่ยวจีนไม่กลับมา 100% เศรษฐกิจจีนไม่ฟื้นตัว 100% แต่เราเห็น การฟื้นตัวในรูปแบบตัว “K” หรือ K-Shaped Recovery การฟื้นตัวในภาคการเกษตร อาหาร ไอที ธนาคารพาณิชย์ เริ่มมีการฟื้นตัวเป็นจุดที่มองว่าปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมาจากการฟื้นตัว ความพร้อมการปล่อยสินเชื่อเพิ่มเพราะธนาคารพาณิชย์แข็งแรงมาก การส่งออก การเกษตร การท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่การฟื้นตัวไม่ได้ครบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ถ้าเศรษฐกิจโลกกลับมาดี การส่งออกดี การท่องเที่ยวกลับมาดี ภาคบริการก็จะดีขึ้นมาก ตรงนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรใช้ข้อมูลเป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น เมื่อต้นปีก่อนที่จะมีความไม่มั่นใจเรื่องดอกเบี้ยถ้าสังเกตุจะเห้นว่าเราเห็นเม็ดเงินต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาแต่พอเกิดความไม่มั่นใจเรื่องดอกเบี้ยว่าจะลดลงได้เริ่มมีเม็ดเงินเข้าๆออกๆ ดังนั้นปีนี้เป้นปีแห่งความไม่แน่นอน จับตาดูข้อมูลและเลือกลงทุนให้ดี
หุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ?
หากมองย้อนกลับไป ถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าประเทศไทยมีธุรกิจหรือภาคอุตสาหกรรมอะไรที่น่าสนใจ ซึ่งทุกคนทั่วโลกจะตอบว่ามี ยิ่งไปกว่านั้นอุตสาหกรรมของไทยเก่งเทียบกับทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, เกษตร, การท่องเที่ยว, เฮลท์แคร์, โรงพยาบาล เป็นต้น ถือว่าเราเก่งมาก ดังนั้นอย่ามองว่าหุ้นไทยไม่เซ็กซี่ เพราะถ้าดูธุรกิจไทยจะเห็นว่ามีการปรับตัวเยอะมาก การท่องเที่ยวไม่ใช่แบบเดิมแต่มี Value Added
ขณะที่เรื่องอาหาร มีทั้งอาหารแพลนต์ เบส ฟู้ด (Plant-based food), อาหารเสริมต่างๆ ฯลฯ ด้านโรงพยาบาลมีคนไข้จากทั่วโลกเข้ามาใช้บริการ นี่คือเสน่ห์ เพียงแต่โจทย์คือเราจะทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้กลับมาฟื้นตัวดี มีความสามารถในการทำกำไร การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน นี่คือสิ่งที่จะทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา หากธุรกิจกลับมาฟื้นตัวคนจะเห็นว่าเสน่ห์ของธุรกิจและบริษัทของไทยอยู่จุดไหน
"ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทาย อาจจะไม่ท้าทายเท่าปีที่ผ่านมา เพราะยังมีเรื่องที่มีความไม่แน่นอนเยอะ หากแต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ปีที่ผ่านมามีเรื่องปัจจัยดอกเบี้ยที่เริ่มขึ้น แต่ปีนี้เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์อัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยในหลายเรื่อง ทั้ง สภาพคล่อง, ความน่าสนใจของตลาดที่กำลังเจริญเติบโต สินทรัพย์ที่เสี่ยงสูง อย่าง หุ้นไทยถ้าเทียบกันแล้วก็คือ หุ้นของ Emerging Market หรือ EM คือ ระบบเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ Emerging Country ดังนั้นความน่าสนใจอาจจะกลับมา มองว่าจุดนั้นอาจจะทำให้ตลาดทุนไทยกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็ว เพราะอย่าลืมว่าตลาดทุนไทยมีหุ้นไอพีโอเข้ามาระดมทุนจำนวนมาก มีฐานนักลงทุนและบริษัทจดทะเบียนที่เข้ามาจดได้เยอะ ธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินทุนแข็งแรงปล่อยกู้ได้ ตลาดตราสารหนี้หากเริ่มมีสภาพคล่อง มีคนลงทุนเยอะขึ้น ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถฟื้นกลับมาได้เร็ว"


