คัด 25 หุ้นเด่น SETESG รับเม็ดเงินใหม่หนุน หลังตั้ง Thailand ESG Fund ธ.ค.นี้
คัดมาให้ 25 หุ้นเด่น SETESG รับเม็ดเงินใหม่หนุน หลังคลังเคาะจัดตั้ง Thailand ESG Fund กำหนดระยะเวลาลงทุน 8 ปีเต็ม ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท/ราย เริ่ม ธ.ค.นี้ ดันมูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคัก คาดเม็ดเงินไหลเข้าช่วงที่เหลือของปีนี้สูงสุด 70,000 ล้านบาท
วันนี้ (14 พ.ย.) กระทรวงการคลังหารือร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งกองทุน Thailand ESG Fund กำหนดระยะเวลาลงทุน 8 ปีเต็ม ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท/ราย เริ่มภายในเดือน ธ.ค.2566 คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า
บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า ปัจจัยดังกล่าวจะเป็นภาพบวกต่อ SET INDEX ให้มีมูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.2566-ปัจจุบัน SET INDEX ปรับตัวลงแรงกว่า -179 จุด หรือ -11.4% จนล่าสุดปิดที่ระดับ 1387.13 จุด ซึ่งส่วนหนึ่งโดนกดดันมาจากการ SHORT SELL หุ้นรายตัว สังเกตได้จากการปรับตัวลงแรงของหุ้นในแต่ละวันของช่วงที่ผ่านมา
โดยหุ้นที่ถูก SHORT SELL มากสุด (ก.ย.2566-ปัจจุบัน) คือ PTT, PTTEP-R, BDMS, AOT, DELTA-R, PTTEP, ADVANC, SCB-R, CPALL, AOT-R, EA-R เป็นต้น ขณะที่หากพิจารณาเป็นภาพรวม SET INDEX จะเห็นได้ว่ามูลค่าการ SHORT SELL ในปัจจุบันสูงกว่าในช่วงก่อนมีกฏ UPTICK ในช่วง COVID ปี 2560 เสียอีก มีรายละเอียด ดังนี้
- ช่วงก่อนมี UPTICK (ม.ค.2563-กลาง มี.ค.2563) SET INDEX ปรับตัวลง -39% โดยมีปริมาณ SHORT SELL 6% จากมูลค่าซื้อขาย 66,800 ล้านบาท/วัน
- ช่วง ก.ย.2566-13 พ.ย.2566 SET INDEX ปรับตัวลง -11% โดยีปริมาณ SHORT SELL 11% จากมูลค่าซื้อขาย 46,200 ล้านบาท/วัน
ทั้งนี้ คาดหวังเม็ดเงินหนุนช่วงที่เหลือของปีนี้ 20,000-70,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับช่วงที่มีกองทุนประหยัดภาษี LTF ที่มีมูลค่าเม็ดเงินหนุนตลาดกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท/ปี (เฉพาะเดือน ธ.ค. มีมูลค่าเม็ดเงินหนุนตลาดกว่า 20,00 ล้านบาท)
รวมทั้ง ESG FUND ยังมีความน่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ SETESG INDEX ชนะ SET INDEX ทุก TIMEFRAME กล่าวคือ SETESG INDEX มีความสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า SET INDEX ทั้งช่วงตลาดหมี และกระทิง ดังนั้น คาดทำให้หุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SETESG INDEX ทั้ง 114 ตัว จะน่าสนใจขึ้น และเป็นเป้าหมายของ ACTIVE FUND และ PASSIVE FUND
โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่อยู่ใน SETESG INDEX ที่ถูก SHORT เยอะๆ มีโอกาสได้เม็ดเงินใหม่หนุน บวกกับถูก COVERED SHORT โดยมีเงื่อนไขการคัดกรอง ดังนี้
- หุ้นใน SETESG เฉพาะที่มี RATING ระดับ AAA และ AA
- ถูกนักลงทุน SHORT SELL มากกว่า 1,000 ล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.2566-ปัจจุบัน
ซึ่งได้บริษัทที่น่าลงทุน คือ EA, BGRIM, GPSC, SCGP, PTTGC, HMPRO, GULF, CPALL, CRC, SCC, MINT, SIRI ฯลฯ
บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า ระยะสั้นจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 เพราะเดือน ธ.ค.นี้ จะมีเม็ดเงินระยะยาวเข้ามาทันที โดยคาดหวังเม็ดเงินไหลเข้าราว 11,000-15,000 ล้านบาท ส่วนปี 2568 คาดมาตรการอาจจะมีออกมาเพิ่มเติมมากกว่านี้
ดังนั้น กลยุทธ์โดยรวมยังคงมุมมองบวกต่อ SET Index ในระยะกลางถึงยาว จาก “Long Term Fund” คาดหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET ESG Index จะน่าสนใจขึ้น และมีโอกาสถูก Active Fund ในประเทศดึงสถานะกลับก่อน
โดยเน้นในกลุ่ม 1) ราคาลงแรงกว่า THAIESG Index -14%YTD 2) ถูก Short sales บนกระดานหลัก+NVDR ตั้งแต่จุดสูงวันที่ 30 ส.ค.2566-ปัจจุบัน มีสัดส่วน % Short Sales Volume(+ NVDR) มากกว่า 8% ของมูลค่าซื้อขายรายตัว หุ้นในกลุ่มดังกล่าวที่น่าจะเป็นเป้าหมายกองทุน เน้น CPALL, GULF, CRC, GPSC, PTTGC, IVL, SCGP, OR, CBG, HMPRO
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า มองปัจจัยดังกล่าวกลางๆ ต่อตลาดหุ้น อาจดูยืดหยุ่นมากขึ้น หากเทียบกับ SSF เนื่องจากลดระยะเวลาถือลงทุนเหลือเพียง 8 ปี (SSF 10 ปี) แต่วงเงินลดน้อยลง เพราะ SSF ได้ถึง 200,000 บาท แต่ ESG Fund ได้เพียง 100,000 บาท


