posttoday

"PTTEP" เซ็กซี่ตรงจุดไหน? ทำไมยืนแถวหน้า

17 ตุลาคม 2566

จับตาสถานการณ์ "อิสราเอล-ฮามาส" ยิ่งเดือด ราคาน้ำมันโลกยิ่งไต่ระดับสูง กูรูชี้ไตรมาส 4/66 ราคาจ่อทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เข้าทาง "PTTEP" หุ้นเด่นช่วงสงคราม บวกปันผลสูงกว่า 5% จังหวะย่อซื้อสะสม

     ความขัดแย้งภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) นับวันจะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ล่าสุด "โจ ไบเดน"ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เตรียมเยือนอิสราเอลในวันพรุ่งนี้(18 ต.ค.66) ก่อนจะไปเยือนจอร์แดน อาจเป็นอีกฉนวนเหตุที่ทำให้ความรุนแรงขยายวงหรือไม่ หลังสหรัฐฯยืนยันเตรียมทหาร 2,000 นาย ช่วยสนับสนุนอิสราเอล

     แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องตามต่อก็คือฝั่งฮามาสที่มีอิหร่านสนับสนุนนั้นจะมีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร และเมื่อสงครามดูเหมือนจะไม่จบลงไปง่ายๆสิ่งที่ได้อานิสงส์จากภาวะนี้อย่างเห็นได้ชัดนั่นก็คือราคาน้ำมัน ที่หลายฝ่ายต่างคาดการณ์ว่ามีโอกาสไต่ระดับ 90-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

 

เชื่อว่า 100 เหรียญฯ

     นายวิษุวัต ใหญ่กว่าวงศ์ ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ด้านหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ บล.กรุงศรี กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า หุ้นของ "บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP" ถือว่าน่าสนใจ เพราะเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบโลกไต่ระดับสูงในช่วงภาวะสงคราม

     โดยเฉพาะหากอิงตามที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้ประเมินสถานการณ์สู้รบ กรณีเกิดความรุนแรงในอิสราเอล-ฮามาสต่อเนื่องและยืดเยื้อ พร้อมกับอเมริกาเข้ามาหนุนอิสราเอล ขณะที่อิหร่านหนุนฮามาส และหากเกิดเหตุปิดช่องแคบฮอร์มุช ไม่ให้เรือบรรทุกน้ำมันและเรือสินค้าจะยิ่งส่งผลกระทบ

     ประกอบกับซัพพลายน้ำมันตึงตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันในไตรมาส 4/66 นี้มีโอกาสแตะระดับ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรลได้

     ส่วน กรณีเลวร้าย หากสถานการณ์บานปลายและลุกลามจนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ หรือ สงครามศาสนา อาจเห็นราคาน้ำมันโลกแตะระดับ 150 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีโอกาสเกิดกรณีดังกล่าว 

     นอกจากนี้ PTTEP เป็นหุ้นปันผลดี มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend yield) ที่ 5.3% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจ หากต้องการซื้อเพื่อรับปันผล บวก Capital Gain หรือ กำไรจากส่วนต่างราคาในอนาคต แม้ในตอนนี้ราคาหุ้น PTTEP ยังยืนระดับสูง อาจต้องรอจังหวะซื้อช่วงย่อตัว

     "ซื้อเก็งกำไรในช่วงนี้ได้ แม้ราคาขึ้นมาสูง แต่จะสังเกตุได้ว่า PTTEP ชนแนวต้าน 170 บาทก็ยังฝ่าด่านไม่ได้หลายรอบ แต่ถ้าราคาน้ำมันทะลุ 100 เหรียญฯเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะไปต่อได้ ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อถือลงทุนก็ทำได้ เพราะ PTTEP ได้อานิสงส์โดยตรงจากราคาน้ำมันไต่ระดับสูง และถ้าเทียบราคาน้ำมันตอนนี้ถือว่าสูงกว่าไตรมาส 3/66 แต่จังหวะซื้ออาจต้องรอให้ราคาย่อตัวลงมาก่อน แม้จะลงมาเล็กน้อยก็ซื้อได้เพราะเรามองว่าไม่น่าจะลงมาเยอะ บวกกับเป็นหุ้นปันผลมากกว่า 5% น่าสนใจในการถือได้" 

โดนรายการพิเศษ Q3

     ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรสุทธิของ PTTEP ในไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ 1.91 หมื่นล้านบาท (-21%yoy, -9%qoq) โดยกำไรที่ลดลง yoy จะเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงมาอยู่ที่ US$86.7/bbl (-10% yoy) ขณะที่กำไรที่ลดลง qoq จะเป็นเพราะ 1) มีผลขาดทุนพิเศษ 2.1 พันล้านบาท (ขาดทุนจากอนุพันธ์ 700 ล้านบาท, ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 360 ล้านบาท และต้นทุนการปรับรายการภาษีที่มาเลเซีย 1.1 พันล้านบาท)

     2) ต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้น (+8% qoq) มากกว่าราคาขายเฉลี่ย(+7%qoq) เราคาดว่าปริมาณยอดขายจะอยู่ที่ 467 พันบาร์เรล/วัน (KBOED) เพิ่มขึ้น 5%qoq เนื่องจากเริ่มมีการจัดส่งน้ำมันดิบจาก PDO และ Oman Block 61 

     อีกทั้ง โครงการ Sabah K เปิดดำเนินการเต็มไตรมาสหลังจากที่ปิดซ่อมบำรุงไปนาน 1.5 เดือนในไตรมาส 2/66 ฝ่ายฯคาดว่า ASP จะเพิ่มขึ้นเป็น US$49.1/bbl (+7% qoq) เนื่องจากราคน้ำมันดิบดูไบสูงขึ้น (+11% qoq) ในขณะที่คาดว่าต้นทุนต่อหน่วยจะเพิ่มขึ้น 8% qoq เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานงานเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการปิดซ่อมบำรุง G2/61 บางส่วน (32 วัน), มีการเพิ่มการผลิตที่ G1/61 และ สัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลวสูงขึ้น (30%) ยังคงเป้าหมายเพิ่มการผลิตที่แหล่งเอราวัณภายในวันที่ 1 เมษายน 2567 ถึงแม้จะมีการเลื่อนกำหนดเพิ่มการผลิตเป็น 600mmscfd ภายในสิ้นปี 2566 แต่บริษัทยังคงคาดว่าจะเพิ่มการผลิตได้ตามเป้า 800mmscfd ภายในวันที่ 1 เมษายน 2567 ฝ่ายคาดว่าปริมาณยอดขายในปี66 จะไม่ถูกกระทบจากการเลื่อนกำหนดเพิ่มการผลิต เพราะ PTTEP มีการเพิ่มการผลิตที่แหล่งบงกช (G2/61) ควบคู่การเพิ่มการผลิตที่แหล่งเอราวัณ

เคาะเป้ากลางปี67 ที่ 196 บ.

     ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำซื้อ PTTEP โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF กลางปี67 ที่ 196 บาท ฝ่ายฯคาดว่าปริมาณยอดขายในไตรมาส 4/66 จะเพิ่มขึ้น qoq จากการเปิดดำเนินการเต็มที่ของโครงการ G2/61 เรามองว่าราคาน้ำมันดิบที่ย่อลงมาในช่วงนี้เป็นประเด็นระยะสั้นเท่านั้น เพราะอุปทานยังตึงตัวจากการที่ OPEC+ คงนโยบายการผลิตเอาไว้เหมือนเดิม 

     ในขณะที่ซาอุดิ อาระเบีย และรัสเซียจะลดการผลิตโดยสมัครใจไปจนถึงสิ้นปี66 ฝ่ายฯมองว่าความเสี่ยงด้าน downside ของประมาณการกำไรปี66 ของเราอยู่ที่ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ในโครงการ LNG ที่โมซัมบิกถ้าหากมีการปรับแผนของโครงการ

\"PTTEP\" เซ็กซี่ตรงจุดไหน? ทำไมยืนแถวหน้า

กำไรปกติQ3ดีต่อ แต่กำไรสุทธิวูบ

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/66 ของ "PTTEP" อยู่ราว 1.8 หมื่นล้านบาท ปรับตัวลดลง 13.3%qoq ถูกกดดันจากรายการพิเศษที่ในงวดนี้สุทธิพลิกกลับเป็นค่าใช้จ่ายรวมราว 2.2 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่สุทธิเป็นกำไรจากรายการพิเศษรวมที่ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการพลิกกลับเป็นบันทึกขาดทุนจาก Oil Price Hedging ราว 720 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าบันทึกเป็นกำไรจาก Oil Price Hedging ที่ 983 ล้านบาท 

     รวมถึงในงวดนี้บันทึกกลับเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 360 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่บันทึกเป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 295 ล้านบาท อีกทั้งยังมีรายการพิเศษการปรับปรุงรายการภาษีของโครงการที่มาเลเซียซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายราว 1.1 พันล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการบันทึก Tax incentive ไว้สูงเกินไป

     อย่างไรก็ตาม หากตัดรายการพิเศษ พิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติงวดไตรมาส 3/66 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 3.3%qoq มาอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท รับผลบวกจากทั้งราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ (น้ำมัน+ก๊าซฯ) ที่คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.2%qoq มาอยู่ราว 49 เหรียญฯต่อบาร์เรล (ภายใต้สัดส่วนการขายก๊าซฯและน้ำมันที่ 70% และ 30% ตามลำดับ) ผลจากราคาขายน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.9%qoq มาอยู่ราว 81 เหรียญฯต่อบาร์เรล 

     ขณะที่ ราคาขายก๊าซฯปรับตัวลดลงเล็กน้อย 1.2%qoq มาอยู่ราว 5.8 เหรียญฯต่อล้านบีทียู รวมถึง ปริมาณขายในงวดไตรมาส 3/66 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.2%qoq มาอยู่ราว 4.67 จาก 4.44 แสนบาร์เรลต่อวัน หลักๆเนื่องจากขายน้ำมันจำนวนโหลดเพิ่มขึ้นของโครงการ PDO Block 6 และ Oman Block 61 รวมถึงโครงการ SABA-K กลับมาผลิตปกติเต็มไตรมาส หลังจากงวดไตรมาส 2/66 ปิดซ่อมบำรุง 1.5 เดือน ขณะที่กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ของโครงการ G1/61 เต็มไตรมาส จะถูกหักล้างกับโครงการ G2/61 ที่มีหยุดซ่อมบำรุงในงวดไตรมาส 3/66 เป็นเวลา 32 วัน

     ซึ่งผลบวกจากราคาและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในงวดไตรมาส 3/66 ดังกล่าวข้างต้น คาดจะถูกหักล้างเกือบทั้งหมดจากต้นทุนต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 28.5 จาก 26.4 เหรียญฯต่อบาร์เรลในงวดก่อนหน้า เนื่องจากในงวดไตรมาส 3/66 มีการหยุดซ่อมบำรุงหลายโครงการ อีกทั้งโครงการ G1 และ SABA-K มีต้นทุนค่าเสื่อมราคาสูงกว่าโครงการอื่นมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้รวมถึงในงวดนี้มีการ write-off หลุมขุดเจาะของโครงการ S1 ราว 360 ล้านบาท

     โดยรวมแล้วคาดกำไรปกติและกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี66 อยู่ราว 6.6 และ 5.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% และลดลง 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ และกำไรสุทธิคิดเป็น 84% ของประมาณการทั้งปี66 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้มุมมองไตรมาส 4/66 ลุ้นกำไรปกติทรงตัว QoQ ได้ แต่กำไรสุทธิมีโอกาสลดลง QoQ จากความเสี่ยงด้อยค่า Mozambique เบื้องต้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรสุทธิตั้งแต่ปี 66 โดยคาดกำไรสุทธิปี66 จะอยู่ราว 7.8 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.1%yoy และ ปี67 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านบาท ลดลง 18.1%yoy

     ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบในปี66 ที่ 90 เหรียญฯต่อบาร์เรล และตั้งแต่ปี67 กำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบระยะยาวไว้อยู่ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล รวมถึงสมมติฐานปริมาณขายในปี66 ไว้ที่ 4.64 แสนบาร์เรลต่อวัน และ ปี 67 ที่ 4.85 แสนบาร์เรลต่อวันตามลำดับ

Q4 ประคองตัว

     สำหรับแนวโน้มกำไรปกติในงวดไตรมาส 4/66 ลุ้นประคองตัวใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 3/66 ได้หากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยตลอดทั้งงวดไตรมาส 4/66 อยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ราว 85-95 เหรียญฯต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้นจาก 85 เหรียญฯต่อบาร์เรลในงวดไตรมาส 3/66) และแนวโน้มราคาขายก๊าซฯเฉลี่ยในงวดไตรมาส 4/66 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 5.9 จาก 5.8 เหรียญฯต่อล้านบีทียู 

     รวมถึงในงวดไตรมาส 4/66 มีปัจจัยบวกจากปริมาณขายที่ล่าสุดทางบริษัทให้มุมมองว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 4.79 แสนบาร์เรลต่อวัน จาก 4.67 แสนบาร์เรลต่อวัน ในงวดก่อนหน้า หลักๆเป็นผลมาจากการกลับมาผลิตได้ปกติของโครงการบงกช G2/61 และเอราวัณ G1/61 หลังจากมีหยุดผลิตซ่อมเพื่อซ่อมบำรุงตามแผนไปในงวดไตรมาส 3/66 ซึ่งคาดผลบวกดังกล่าวจะเข้ามาช่วยชดเชยแนวโน้มต้นทุนต่อหน่วยที่คาดจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ราว 29-30 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากที่คาดไว้ 28.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดไตรมาส 2/66 เนื่องจากโดยปกติจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษ one-time adjustment เกิดขึ้นในการปรับปรุงงบปลายปี

     อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแนวโน้มกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 4/66 มีโอกาสเห็นการปรับตัวลดลง QoQ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะมีการทบทวนการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์(impairment)ของโครงการ Mozambique LNG (PTTEP ถือหุ้น 8%) หาก TOTALซึ่งเป็นผู้ดำเนินการผลิต (operator) ยังไม่สามารถกลับเข้าพื้นที่ได้เพราะจะทำให้โครงการจะมีการเลื่อนการผลิตเชิงพาณิชย์ออกไปจากล่าสุดที่กำหนดไว้ในปี 2569 หลังจากก่อนหน้านี้ช่วงปลายงวดไตรมาส 2/66 ทาง TOTAL มีการประกาศว่าจะกลับเข้าพื้นที่ และเตรียมย้ายชาวบ้านที่อยู่อาศัยออกไป แต่ยังไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนว่าจะกลับเข้าไปตอนไหนได้ 

     ดังนั้นหากปลายปี66 TOTAL ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ คาดจะมีความเสี่ยงในการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์โครงการเพิ่มเติมในงวดไตรมาส 4/66 ซึ่งหากอิงการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ก่อนหน้าจำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี64 ที่ 163 ล้านเหรียญฯ และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี65 ที่ 190 ล้านเหรียญฯ คาดมูลค่าที่จะตั้งด้อยค่าน่าจะยังอยู่ในกรอบเดิมที่ราว 150-200 ล้านเหรียญฯ หรือราว 5.4-7.2 พันล้านบาท(โครงการ Mozambique LNG มีมูลค่าสินทรัพย์ตามบัญชีตอนเข้าซื้อที่ราว 2 พันล้านเหรียญฯ และมีการใช้เงินลงทุนไประหว่างทางอีกประมาณ 600-700 ล้านเหรียญฯ รวมมูลค่าสุทธิก่อนหักด้อยค่าจะอยู่ราว 2.6-2.7 พันล้านเหรียญฯ หรือราว 7.8-8.3 หมื่นล้านบาท)

     มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 66 ที่ 178 บาทต่อหุ้น ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 66 และตั้งแต่ปี 67 ที่ 90 และ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ แม้ภาพปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นลงตามทิศทางราคาน้ำมัน ดังนั้นในระหว่างทางยังคงแนะนำในลักษณะ TRADING ตามราคาน้ำมันอยู่ Dividend yield 4.9% ทั้งนี้แนวโน้มราคา Sideways Up มองแนวรับ 156 บาท แนวต้าน 170-175 บาท

 

ขายทำกำไร

     บล.ไอร่า(ประเทศไทย) มองหุ้น PTTEP ภาพรายวันราคาพยายามเร่งตัวในลักษณะจำกัด ให้ภาพของการแกว่งตัวออกข้างอิงทางบวกตามกรอบแนวโน้มหลักระยะสั้น ขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค MACD และ RSI เริ่มแกว่งชะลอกำลัง ระยะสั้นคาดราคามีโอกาสแกว่งตัวออกข้างอิงทางบวกได้บ้างอย่างจำกัด 

     อย่างไรก็ตามมองเป็นโอกาสในการทยอยล็อคกำไร Lock profit มองแนวรับ 169 / 166 บาท แนวต้าน 174 / 176.50 บาท

 

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น PTTEP ปิดการซื้อขายวันนี้(17 ต.ค.66) อยู่ที่ 170 บาท ลดลง 2 บาท คิดเป็น -1.16% มูลค่าการซื้อขาย 2,023.64 ล้านบาท โดยระหว่างวันราคาขึ้นสูงสุดที่ 171 บาท และลดลงต่ำสุดที่ 169 บาท