posttoday

นโยบายรัฐบาล "เศรษฐา" หนุน 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ดัน SET ปี 67 พุ่ง 1,850 จุด

07 กันยายน 2566

ลุ้นนโยบายรัฐบาล "เศรษฐา" หนุนเศรษฐกิจไทยโต 5% 11 กลุ่มอุตสาหกรรม รับผลบวก ดันตลาดหุ้นไทยปี 67 แตะ1,800-1,850 จุด ชู BJC-ADVANC-CPF เด่น

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า นโยบายภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ซึ่งจะเร่ง GDP Growth ให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 5% ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายไว้ แบ่งเป็นระยะสั้น และระยะกลาง-ยาว โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • นโยบายระยะสั้น อาทิ แก้ปัญหาหนี้(ภาคเกษตร ธุรกิจ ประชาชน), ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน, กระตุ้นภาคท่องเที่ยวและ แก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • นโยบายระยะกลาง-ยาว อาทิ ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค, ผู้ว่า CEO, การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก และ จัดทำ Matching Fund

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ มาจำแนกว่านโยบายใดบ้างที่ส่งผลต่อกลุ่มหุ้นในตลาดหุ้นไทย อาทิ

  • พักหนี้-แก้หนี้ ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย บวกต่อ FIN AGRI
  • ท่องเที่ยวกุญแจดอกแรกสร้างรายได้ประเทศ บวกต่อ TOURISM TRANS
  • เปิดประตูการค้า สู่ตลาดใหม่ๆ ยกระดับพาสปอร์ตไทย บวกต่อ กลุ่มส่งออก
  • สร้างและขยายโอกาสให้กับประชาชน 1 ครอบครัว 1 ทักษะ Soft Power บวกต่อ ICT
  • ยกระดับ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค” บวกต่อ HELTH
  • สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality บวกต่อ หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน
  • GDP เพิ่มขึ้น 5% ต่อปีบวกต่อ BANK
  • นโยบายหลักที่ทุกคนคาดหวัง คือ นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท บวกต่อ COMM FOOD

นโยบายรัฐบาล \"เศรษฐา\" หนุน 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ดัน SET ปี 67 พุ่ง 1,850 จุด

สำหรับนโยบายดังกล่าว คาดทำให้เศรษฐกิจโตได้ดีกว่าที่คาดไว้ (ระดับเดิม คือ 2-3%) โดยมีโอกาสสูงที่ GDP Growth ไทยจะโตระดับ 5% ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งหากเป็นจริง ถือว่าเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้นมาก เนื่องจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า หาก GDP ไทยช่วงปีที่โตมากกว่า 5% หนุน RETURN SET INDEX เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 37% (ข้อมูลตั้งแต่ปี 2543-ปัจจุบัน)

นโยบายรัฐบาล \"เศรษฐา\" หนุน 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ดัน SET ปี 67 พุ่ง 1,850 จุด

 

โดยในมุมพื้นฐาน เศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัวแรง ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยใน 2 มุมหลัก ดังนี้

  • ทำให้ EPS67F มีโอกาสฟื้นตัวแรงกว่าที่คาดไว้ ความหมายคือ ตอนนี้ EPS Growth 67F อยู่ที่ 12.6% ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะขยับขึ้นสู่ระดับ 15%
  • Fund flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามากขึ้น หนุน Turnover และปริมาณการซื้อขายรายวันสูงขึ้น ทำให้ระดับ Market earning yield gap กดต่ำลง และหนุนระดับ PE สูงขึ้น

ดังนั้น จึงทำให้ Target SET ปีหน้ามีโอกาสขยับขึ้น ทั้งจากฝั่ง EPS67F และ PE67F ที่สูงขึ้น ซึ่งหาก EPS ปีหน้าขึ้น 3% (ตาม GDP Growth) Target SET มีโอกาสขยับขึ้นสู่ระดับ 1,800-1,850 จุด

นโยบายที่มีโอกาสผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต ทำให้มี Upside ในเชิงประมารการทั้ง GDP Growth และ EPS67F หนุนประมาณการ Target SET ปี 2567 ขยับขึ้น กลยุทธ์การลงทุนเน้นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว อาทิ กลุ่ม COMM, FIN, FOOD, HELTH, ICT, AGRI เป็นต้น เลือก BJC, ADVANC, CPF เป็น Toppicks