คำต่อคำ “ประพันธ์ เจริญประวัติ” ผ่าเกม “ตลาด LiVEx” เปิดอนาคต “SMEs-Startups”
“ตลาด LiVEx” อีกบทพิสูจน์ฝีมือเจ้าพ่อนักปั้น “ประพันธ์ เจริญประวัติ” ผลักดัน“SMEs-Startups”เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้จริง ปลื้ม! 5 บริษัทแห่เข้าเทรด พร้อมอัดความรู้ “LiVE Platform”แบบจัดเต็ม สู่นักธุรกิจมืออาชีพ ย้ำ!ผู้ประกอบการทั่วไทยเร่งเติมความรู้ผ่านออนไลน์ ฟรี!
“ประพันธ์ เจริญประวัติ” ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ หรือ LiVEx เปิดเผยกับ"โพสต์ทูเดย์" ว่า ก่อนอื่นขอเล่าให้ฟังก่อนว่า "ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx)" เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่ 3 ของประเทศไทย รองจาก "ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)" และ "ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)"
การเปิดตลาด LiVEx เป็นความตั้งใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ตลท. , ก.ล.ต. และผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน อยากให้ LiVEx เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับบริษัทที่มีจนาดเล็กลงมา ทั้ง สตาร์ทอัพ , SMEs และบริษัทที่ยังไม่พร้อมเข้า SET และ mai ซึ่งตลาด LiVEx เปิดอย่างเป็นทางการ วันที่ 31 มีนาคม 2565 พอเปิดตลาดปีแรกในวันที่ 9 ก.ย.65 มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียน คือ บมจ.แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส (AWS 22) มูลค่าระดมทุน 80 ล้านบาท และในเดือน ธ.ค.65 มี 2 บริษัทตบเท้าเข้าเทรด คือ บมจ.สิทรอน เพาเวอร์ (SITRON 22) มูลค่าระดมทุน 66 ล้านบาท และ บมจ.สตอเรจ เอเชีย (ISTORE 22) มูลค่าระดมทุน 50 ล้านบาท
เลข 22 คือ ?
ตัวเลข 22 ที่อยู่ท้ายชื่อหุ้น อย่าง AWS 22 , SITRON 22 หรือ ISTORE 22 นั่นคือ Vintage Year เพื่อบอกให้รู้ว่าบริษัทแห่งนี้เข้าตลาด LiVEx ในปี 2022 ขณะที่หุ้นที่จะเข้า พ.ศ.2566 ก็จะลงท้ายด้วยรหัส 23 เพื่อบอกปีที่เข้าเทรดชัดเจนนั่นเอง
"ปีที่แล้วหลังจากเปิดตลาด LiVEx ก็มี 3 บริษัทเข้ามาจดทะเบียน ถือว่าประสบความสำเร็จและพิสูจน์ได้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งที่ 3 นี้ ได้เปิดและใช้งานได้จริง ระดมทุนได้จริง เพียงแต่ต้องปรับปรุงเรื่อยๆ พิสูจน์ได้ว่าตลาดนี้เปิดแล้วและระดมทุนได้จริง
ตอนนี้มีโบรกเกอร์เข้ามาเชื่อมเปิดระบบซื้อขายได้จริง 18 บริษัท ซึ่งในปลายปี 66 จะเข้ามาเพิ่มอีก 4 บริษัท รวมเป็น 22 บริษัทจากโบรกเกอร์ในระบบมี 40 บริษัท นั่นเท่ากับว่าครึ่งหนึ่งของโบรกเกอร์เปิดเชื่อมระบบได้แล้ว"
เกณฑ์เข้าเทรดเข้มแค่ไหน ?
ต้องบอกว่าหลักเกณฑ์หย่อนกว่า การเข้าเทรด SET และ mai เพราะแนวคิดในการออกแบบตลาด LiVEx คือเปิดโอกาสให้บริษัทเข้ามาระดมทุนได้ง่ายขึ้น, ค่าใช้จ่ายที่ถูกลง, ระยะเวลาที่เร็วขึ้น บนกฎหมายเดิมที่มีอยู่เพราะเราไม่ได้ออกกฎหมายใหม่ ซึ่งในหลายๆประเทศจะมีการออกกฎหมายใหม่ออกมาเพื่อรองรับตลาดนี้ แต่ของเราใช้ พรบ.หลักทรัพย์ และ พรบ.มหาชน เกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์และก.ล.ต. แต่เราใช้แบบที่มันผ่อนคลายลงมา ดังนั้น 1.การเข้าก็จะง่ายกว่า ระยะเวลาก็จะเร็วขึ้น ค่าใช้จ่ายถูกลง Light Touch Supervision
2.พอเราเปิดโอกาส ซึ่งโอกาสมากับความเสี่ยง โอกาสมากขึ้น ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจะบาลานซ์หรือสร้างความสมดุลอย่างไรระหว่างโอกาสกับความเสี่ยง Investor Protection ที่เหมาะสม กลุ่มผู้ลงทุนจึงต้องเป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ และมีฐานะที่จะดูแลการลงทุนตัวเองได้ ดังนั้น รายบุคคลที่มีความต่างกันมาก บางคนรวยมาก บางคนก็มีไม่มาก บางคนรู้เยอะ บางคนก็ไม่รู้ ดังนั้นจึงเน้นนักลงทุนสถาบัน กับ ผู้ลงทุนรายใหญ่ เป็นหลัก
3.ข้อมูลที่จะให้ผู้ลงทุนตัดสินใจ ต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน จำเป็นและเพียงพอ ทันเวลาให้กับผู้ลงทุนได้ดูเพื่อตัดสินใจในการลงทุน Information Base System ซึ่งทั้ง 3 ข้อเป็นหลักสำคัญในการออกแบบตลาดนี้
ทำไมลงทุนได้เฉพาะสถาบัน-รายใหญ่ ?
โอกาสมากับความเสี่ยง กลุ่มผู้ลงทุนจึงต้องเป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ และมีฐานะที่จะดูแลการลงทุนตัวเองได้
ซึ่งกลุ่มนักลงทุน ในที่นี้ก็คือ กลุ่มสถาบัน บุคคลที่ทำงานในตลาดทุน เช่น ผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ นักลงทุนรายใหญ่ และคนที่รู้จักบริษัทเป็นอย่างดี เช่น ผู้ถือหุ้น, กรรมการบริหาร, พนักงาน ซื้อได้เฉพาะบริษัทนั้นบริษัทเดียว
รวมถึง ผู้ลงทุนรายใหญ่(High Net Worth)ที่มีความรู้และฐานะ โดยมีสินทรัพย์สุทธิ 30 ล้านบาท หรือ รายได้ต่อปี 3 ล้านบาท หรือ พอร์ตลงทุน 8 ล้านบาท หรือถ้ารวมเงินฝาก 15 ล้านบาทก้อนใดก้อนหนึ่ง นี่คือกลุ่มผู้ลงทุน
ทั้งนี้ยอมรับว่าเน้น High Net Worth เพราะถ้าเป็น Corporate กระบวนการพิจารณาการลงทุนจะค่อนข้างใช้เวลาเยอะอาจจะไม่ค่อยทันรอบของการไอพีโอ เพราะเวลายื่นไฟลิ่งแล้วขายหุ้นได้ราว 2 เดือน แต่ถ้าเทรด SET หรือ mai ใช้เวลา 5 เดือน ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่ม High Net Worth
เอื้อ CORNER หุ้นหรือไม่ ?
หากถามว่าตลาด LiVEx จะช่วยเอื้อต่อการ CORNER หุ้นหรือไม่นั้น ต้องบอกว่าธรรมชาติของตลาดนี้ ผู้ลงทุนน้อยราย สภาพคล่องไม่เยอะ แต่ถามว่าจะเข้ามาทำราคาง่าย/ยากอย่างไร ย้อนกลับไปที่ข้อ 2 คือ Investor protection ตลาดนี้ป้องกันการเก็งกำไร โดยออกแบบมาคือต้องซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ อีกทั้งต้องเป็นนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันเท่านั้น
และสิ่งที่เพิ่มเติมในตลาดนี้คือ เป็น Prepaid หรือ Cash Market ไม่มีมาร์จิ้น หรือ Settlementในวันแบบถี่ๆ ซึ่งจะตัดในเรื่องของการสร้างราคาได้ โดย Prepaid คือ คนที่จะซื้อหุ้นต้องมีเงินในบัญชี คนจะขายต้องมีหุ้นในบัญชี ดังนั้นมันมีของอยู่แล้วมันก็จะหมุนไม่ได้หลายรอบ เพราะคนจะซื้อต้องมีเงินคนขายต้องมีหุ้นต้องส่งมอบและ Match กันในวันนั้น แต่เนื่องจากสภาพคล่องไม่เยอะ เพราะ BUY and HOLD สภาพคล่องไม่เยอะขนาดนั้น
โดย ตลาด LiVEx เปิดซื้อขายทุกวัน วันละ 1 รอบเท่านั้น ในเวลา 09.30-10.30 น. จะมีราคาเดียว หรือบางวันอาจไม่มีการซื้อขายเลยก็ได้ แต่เป็นหุ้นที่มีปันผล , เพิ่มทุน หรือใช้เครื่องมือทางการเงินเหมือน SET และ mai ที่สำคัญบริษัทในตลาด LiVEx สามารถย้ายเข้าไปเทรดในตลาด SET และ mai ได้
ย้ายจาก LiVEx เข้า SET-mai ?
เราเปิดกว้างให้บริษัทสามารถระดมทุนไปขยายธุรกิจให้เติบโต ขณะเดียวกันเตรียมความพร้อมเพื่อเข้า SET และ mai ต่อไป เช่น ตลาด LiVEx ต้องทำงบการเงินชุดใหญ่ 1 ปี แต่ถ้าตลาด SET หรือ mai ต้องใช้งบ 3 ปี ดังนั้นใช้เวลา 1 ปีเข้ามาระดมทุนในตลาด LiVEx และมีเวลาอีก 2 ปีหากทำงบได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดก็สามารถย้ายไปเทรดตลาดอื่นได้
"คนที่เข้าตลาด LiVEx เหมือนผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว ทำงบชุดใหญ่เรียบร้อยแล้วซึ่งไม่ได้ง่ายเลย เหลือเพียงทำระบบควบคุมภายใน โครงสร้าง ผลประโยชน์ทับซ้อน(Conflict of Interest) ในรายละเอียด"
3 หุ้นจ่อย้ายตลาด ?
ทุกบริษัทตั้งใจที่จะย้ายไปอยู่แล้ว อย่าง "บมจ.สิทรอน เพาเวอร์ (SITRON 22)" เตรียมย้ายไประดมทุนใน "ตลาดหลักทรัพย์ mai" คาดว่าน่าจะระดมทุนได้ภายในครึ่งปีหน้า นี่เป็นตัวอย่างที่จะทำให้เห็นว่าเข้ามาในตลาด LiVEx แล้วสามารถระดมทุนไปขยายธุรกิจให้เติบโต เพียงแค่ทำเรื่องงบการเงินให้พร้อม
ดังนั้นสิ่งที่จะเห็นคือ มีบริษัทเข้ามาในตลาด LiVEx สร้างความพร้อม แล้วย้ายไปเข้าตลาด SET หรือ mai เราจะเห็นการครบลูป ต้องรอบริษัทเข้าเทรด mai แล้วจะเห็นภาพชัดว่า ผู้ที่ลงทุนในตลาด LiVEx ถือลงทุน 2-3 ปี แล้วบริษัทที่ถือย้ายไปเข้า SET หรือ mai ต่อ ตลาดใหญ่ขึ้น หวังว่าวันนั้นธุรกิจจะเติบโตขึ้นอีกในระดับหนึ่ง และมี Valuation ที่สูงขึ้น
ทำไม? รายใหญ่สนใจหุ้น LiVEx
ต้องบอกว่าอันนี้เป็นเหมือน Early S-Cuve เป็นธุรกิจที่เราซื้อตั้งแต่ช่วงต้นๆของตัว S มีงบที่ตรวจสอบด้วยผู้สอบบัญชี เราเห็นแผนธุรกิจ และเป็นบริษัทที่มีโอกาสระดมทุนใน SET หรือ mai แน่นอนว่าแตกต่างจากการซื้อหุ้นนอกตลาด ซึ่งเราไม่ค่อยแน่ใจว่าจะไปได้ถึงไหน แค่เรื่องงบก็เป็นจุดตายของหลายบริษัทในการทำงบดีๆ
แต่ตลาดตรงนี้เป็นเหมือนการันตีว่าบริษัทในนี้มีความพร้อมในการที่จะไป SET หรือ mai ในระดับหนึ่ง และเราเห็นแผนธุรกิจเติบโต เป็น High Return แต่ Risk ก็จะเยอะ แต่เป็น "Early S-Cuve Investment"
หุ้นใหม่จ่อเทรดปีนี้ ?
ในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้ คาดว่าจะมี 5 บริษัทเตรียมตัวยื่นไฟลิ่ง นั่นคือ 1.บมจ.พรอดดิจี้ เป็นไอทีเอาท์ซอร์ส ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่อยู่ในโปรแกรม Live@Station , 2. บริษัทลูกของ บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย(INET) และ อีก 3 บริษัทคาดว่าน่าจะยื่นไฟลิ่งภายในปีนี้ หรือ ปีหน้า
ซึ่งก่อนหน้านี้ บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย(INET)เผยเตรียมความพร้อมบริษัทร่วมทุน คือ 1.บริษัท วัน อิเล็กทรอนิกส์ บิลลิ่ง จำกัด (มหาชน) มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มด้านเอกสารภาษีและเอกสารการค้า และ 2.บริษัท อินเทลลิจิสต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้าน Big Data และ Data Analytics เข้าระดมทุนในตลาด LiVE Exchange
"การสร้างของใหม่ต้องทำให้เห็น Key สำคัญคือต้องให้ทุกคนเห็นว่ามีการเติบโต และมีการผลตอบแทน Show me the Money ซึ่งนักลงทุนต้องการแบบนั้น เพราะงั้นการที่จะเห็นคือระดมทุนได้จริง ซื้อขายจริง และมีการเข้าไปอยู่ใน SET หรือ mai จะเห็นลูปแบบนี้ต่อไป ซึ่งอันนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของการสร้างตลาด ก็จะยากหน่อยที่จะหาบริษัทเข้ามาจดทะเบียนก็ไม่ง่าย ตอนที่เราเปิดตลาด mai ใหม่ๆใช้เวลา 2 ปีเศษ กว่าจะมีบริษัทแห่งแรกเข้ามาจดทะเบียน แต่ตลาด LiVEx เราใช้เวลา 6 เดือนเพราะเราเตรียมปูพื้นฐานมาบ้าง"
ให้ความรู้-ให้ทุน ?
SET ก่อตั้งมา 48 ปี ขณะที่ mai 14ปี มีบริษัทจดทะเบียนกว่า 800 บริษัท ถือว่าไม่เยอะ ส่วนตลาด LiVEx อย่างเก่งมีบริษัทจดทะเบียนหลักพันบริษัท เพราะตอนนี้มี SMEs ราว 3.1 ล้านล้าน บริษัทขนาดกลางเยอะมาก เราอยากให้คนกลุ่มนี้ได้ประโยชน์จากตลาดทุนตาม VISION ของเราคือ "To make the Capital Market" ดังนั้นเราจึงอยากให้ความรู้กับทุกคนในวงกว้าง ทำตัว Education platform ที่เรามีพันธมิตรมากกว่า 40 แห่งในการจะช่วยผลักดัน, เรามีความรู้ออนไลน์มากกว่า 700 คอนเท้นท์ในหลายรูปแบบ
และ อยากไฮไลท์ คือ Live Academy ทั้ง LiVE SPARKที่นำความรู้ออนไลน์มามัดเป็นหลักสูตรให้ 5 ด้านสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจสตาร์อัพ ขยายธุรกิจ รวมทั้งอัพสกิลคน เข้ามาเรียนออนไลน์เท่านั้น พอเรียนจบเรามีเงินทุนสนับสนุนจากกองทุน CMDF บริษัทละ 20,000 บาท
ซึ่งบริษัทจะนำไปใช้ทำอะไรก็แล้วแต่ ทั้ง จ้างที่ปรึกษา หรือ Upskill หรือ Reskill คนได้ ให้เรียนฟรี ซึ่งในปีนี้เราเปิด 200 ทุน ตอนนี้ขอมาเกินจำนวนแล้ว แต่ไม่ต้องกังวลเพราะเราต้องเพิ่มจำนวนทุนรองรับความต้องการที่ล้นหลาม
นอกจากนี้ เราจัดเพิ่มเติมสำหรับคนที่สนใจเข้าตลาดฯ ให้เฉพาะองค์กร/นิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วน ได้สิทธิในการได้เงิน 50,000 บาท เพื่อนำไปปรับระบบบัญชี หรือ จ้างที่ปรึกษา หลักสูตร 3-4 วันที่เราจัดเองหรือพันธมิตรร่วมจัด ซึ่งปีนี้เราจะปิด 31 สิงหาคม 2566 นี้ ตอนนี้สมัครมากว่า 400 บริษัทผ่านออนไลน์
"โครงการไลฟ์ อะคาเดมี นับตั้งแต่อดีตจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 66 มีผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์ถึง 1,164 ราย ถือว่าให้ประโยชน์ต่อผู้ประกอบการได้ตรงและเร็ว ไม่รวมผู้ที่มาเรียนออนไลน์"
ฝากถึง ?
บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ในการสร้าง Impact ให้เศรษฐกิจ สังคมไทย คนจะได้ไม่ได้บอกว่า ตลท.เป็นที่ของคนรวยเท่านั้น เพราะ ตลท.มีคอนเซ็ปต์ "To make the capital work for evryone" ไม่ว่าเป็นกองทุนประกันสังคม หรือ กบข.ก็เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นความเกี่ยวข้องที่คนอาจจะมองไม่เห็น แต่แบบนี้คนจะเห็นชัดขึ้นว่า เราต้องการที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมไทย
และวันนี้คนสนใจเรื่องของตลาดเงินตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างเยอะ เพียงแต่เครื่องมือหรือคนที่ไปช่วยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน, ผู้สอบบัญชี, CFO, IR ที่เป็น Professional Analyst ขาดคน การทำแพลตฟอร์มนี้ช่วยเติมตรงนี้ได้ แต่ไม่ได้ไปแทนที่ แต่เราจะทำทุกอย่างให้
โอกาส SME-สตาร์ทอัพ ?
กลุ่ม SECTOR เราไม่ได้จำกัด แต่ถ้าเทียบระหว่าง SME กับ สตาร์ทอัพ มองว่า SME ได้รับความนิยมมากกว่า โดยสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการ 10-20% แล้วแต่โปรแกรม ถือว่ามีกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่น่าสนใจเยอะมาก เราได้เห็นพวกไอที แพลตฟอร์ม หรือการแพทย์ระดับยีนส์มาคุยกับเราหลายบริษัท หรืออาหารที่อยู่ในเทรนด์หรือไลฟ์สไตล์ของคน
ดังนั้นจะเห็นธุรกิจที่น่าสนใจใน LiveX เยอะ เพราะนี่คือคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจที่อยากมีเงินทุนและโตขึ้นได้เร็วกว่าเส้นทางปกติที่สมัยก่อนต้องทำธุรกิจมาเป็น 10-20 ปีแล้วมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อันนี้เป็นธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ เพราะแบบนั้นจึงอยากจะเข้าถึงตลาดทุน เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้เร็วขึ้น และวิธีคิดด้วย โมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่งผมคิดว่าหาก Investor เห็นตอนที่เขาเข้ามาไฟลิ่ง น่าจะมีคนสนใจลงทุนเยอะ อย่าง INET มีลูกกว่า 40 บริษัท มี 2 บริษัทที่จะเข้ามา , ปตท. หรือ ปูนฯ นี่คือทางเลือกที่จะสปินออฟลูกเข้ามาในตลาด LiVEx
อยากบอก SME-Startups ?
ผมอยากให้ผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยทุกคนเข้ามาใช้ Live platform ให้เป็นประโยชน์ เรามีแพลตฟอร์มที่มีทั้งความรู้ เครื่องไม้เครื่องมือที่จะช่วยผู้ประกอบการให้มีความรู้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการจะลงมือทำคือ รู้! ถ้าไม่รู้จะไม่สามารถไปได้ แต่พอรู้แล้วก็ต้องรู้จริง รู้ลึก และนอกจากเรามีความรู้ให้แล้ว เรายังมีตัวช่วยอื่นๆ เงินทุนสนับสนุน มันจะมีแพลตฟอร์มที่ไหนที่ให้เยอะขนาดนี้
ดังนั้นอยากให้มาศึกษาให้รู้ พอเรารู้แล้วไม่ว่าจะเลือกทางไหน มันจะเป็นการเลือกที่มีพลัง ดีกว่าเลือกแบบไม่ค่อยแน่ใจ แต่ถ้ารู้ชัดจะไม่เข้าตลาดก็ทำได้ แต่ถ้ารู้แล้วสนใจเราก็มีความรู้เพิ่มเติมให้ รู้ลึกไปได้เรื่อยๆ รู้ถึงขั้นการเตรียมตัว แหล่งเงินทุนสนับสนุน มันจะเป็นการเลือกที่มีพลัง
โปรแกรมอบรมส่วนใหญ่ฟรี ยกเว้นบางหลักสูตรที่ต้องวางเงินเป็นหลักประกัน พอเรียนจบเราถึงจะคืนเงินให้ นี่คือพื้นที่ของบริษัทที่ค่อนข้างจริงจัง ไม่ได้มาเล่นๆ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม LiVE EXCHANGE ได้ที่ https://www.live-platforms.com/live-exchange และ LiVE Platform ได้ที่ https://www.live-platforms.com/
คาดหวัง LiVEx แค่ไหน?
ผมว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีมากในภาวะและการพัฒนาตลาดทุนไทย ถามว่ามันเป็นการพัฒนาอย่างไร ที่ผ่านมาที่เรามีเกณฑ์ต่างๆเยอะแยะมากมาย เพราะเราต้องดูแลผู้ลงทุน เรียกว่า Investor Protection ตลาดเป็นการพัฒนาให้ผู้ลงทุนได้ทำหน้าที่ตัวเอง คนที่ไม่เคยอ่านไฟลิ่งก็ต้องอ่าน คนไม่เคยดูงบการเงินของบริษัทก็ต้องดูก่อนการลงทุน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผมว่านี่เป็นการพัฒนาตลาดทุนในมุม Invester ที่เรายังไม่เคยทำ
นอกจากนี้ มองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กับธุรกิจที่น่าสนใจในการเติบโตสูง ไม่ต้องรอ เข้ามาระดมทุนได้ นี่คือทางเลือกที่เหมาะกับตลาด ณ ตรงนี้ เรามีธุรกิจสตาร์ทอัพ ในภาวะตลาดทุนที่เราต้องเข้มงวด เข้มข้นขึ้นกับบริษัทใน SET และ mai ไม่ว่าเกณฑ์การเข้าตลาดที่จะเห็นเฮียริ่งยกขึ้นไป 2.5 เท่า จากกำไรเข้า SET ที่ 30 ล้านบาท ขยับขึ้นเป็น 75 ล้านบาท ส่วน mai จาก 10 ล้านบาท ขึ้นเป็น 25 ล้านบาท
นี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ประกอบการและผู้ลงทุน อย่างไรก็ดี บริษัทที่จะเข้ามาเทรดในตลาด LiVEx จะมีมากน้อยแค่ไหน บอกเลยว่าจำนวนไม่ได้คาดหวัง แต่สิ่งที่เราทำถือว่าทำเต็มที่ เรามีมาร์เก็ตเพลสที่ดี กรูมคนจำนวนมากที่มีความรู้และความพร้อม ดังนั้นตรงนี้จะเป็นทางที่เขาจะเข้ามาได้แล้วไปต่อทำให้ตลาดทุนไทยแข็งแรง นี่คือ ตลาด LiVEx แต่ผมให้น้ำหนักกับ Live Platform ค่อนข้างมากเพราะผมมองว่านี่จะมีอิมแพคกับเศรษฐกิจและสังคมไทยและผู้ประกอบการ
"ผมหวังว่าผู้ประกอบการทั้ง 1,164 ราย จะมีความรู้ที่เพิ่มขึ้นๆ เมื่อมีความพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเงินทุนไหนที่เขาจะเลือก ซึ่งึส่วนตัวคาดหวังว่าจะเห็น SME และสตาร์ทอัพปีละ 1,000 ราย และอยากเห็นคนที่เข้ามาอยู่ใน Education Platform มากกว่าปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 10,000 ราย อยากเห็นระดับ 100,000 รายถือว่ายากมาก เพราะคนส่วนใหญ่ใช้เวลาสื่อโซเชียลวันละ 2-3 ชั่วโมง หากแบ่งเวลามาศึกษาหาความรู้ตรงนี้สัก 10-15 นาทีก็จะได้ประโยชน์ ผู้ประกอบการจะมีความรู้มากขึ้น"