posttoday

MTC พอร์ตสินเชื่อ Q2/66 แตะ 132,851 ลบ. โบรกแห่สแกนผลงานครึ่งปีหลัง

09 สิงหาคม 2566

MTC พอร์ตสินเชื่อไตรมาส 2/66 แตะ 132,851 ล้านบาท หนุนรายได้ 6,041 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท “ปริทัศน์ เพชรอำไพ”มั่นใจพอร์ตสินเชื่อปีนี้โต 20% ฟากโบรกส่องอนาคต เคาะกราฟชัด

      นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการส่งมอบผลิตภัณฑ์สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่เป็นเลิศ คำนึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผ่านการขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางเลือก ด้วยต้นทุนทางการเงินที่เป็นธรรมและโปร่งใส ส่งผลให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 6,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท 

      สำหรับในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้อยู่ที่ 11,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.86% และมีกำไรสุทธิ 2,270 ล้านบาท มาจากการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขากว่า 7,260 แห่งครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศ จึงทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 132,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25,450 ล้านบาท หรือ 23.70% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพพนักงานให้พร้อมรับกับความท้าทายการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เพื่อรักษาระดับการบริการที่ดีแก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพลูกหนี้ให้ดีขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อแตะระดับ 2 แสนล้านบาทในปี 2569 และรองรับแผนการปล่อยสินเชื่อในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%

      โดยในช่วงวันที่  21-23 สิงหาคม 2566 บริษัทคาดว่าจะออกและเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 3 ชุด โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 1 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้  โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566

     ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้กับลูกค้าในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ(SDGs) ที่บริษัทมีการปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 2566 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) โดยมีระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 

       รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ ในการร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อแนวคิดการบริหารธุรกิจโดยคำนึงความยั่งยืนของบมจ.เมืองไทยแคปปิตอล

NPL มาตามนัด 

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า MTC กำไรสุทธิ 2Q66 สูงกว่า BLOOMBERG CONSENSUS คาดราว 7% อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท (+12.2% QOQ, -13.1% YOY) หนุนด้วย NII ตามการเติบโตของสินเชื่อ ชดเชย CREDIT COST สูงขึ้น ตาม NPL / LOAN ที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.4% จาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน และมีแนวโน้มยังไม่ผ่าน PEAK LEVEL ในเชิง COVERAGE RATIO ทรงตัว QOQ ที่ 105%

     ขณะที่กำไรสุทธิ 1H66 ที่ 2.3 พันล้านบาท (-17.6% YOY) คิดเป็นสัดส่วน 49% ของประมาณการกำไรฝ่ายวิจัยทั้งปี และ 47% ของ BLOOMBERG CONSENSUS (ณ 8 ส.ค. 66) มองว่ายังสอดคล้อง

     แม้ภาพรวมไม่โดดเด่น ทั้งทิศทาง NPL และกำไร 1H66 ยังสอดคล้องกับประมาณการฝ่ายวิจัยและตลาดทำให้โอกาสในการ UPGRADE EARNING ต่ำ แต่ราคาหุ้น YTD ปรับฐานราว 10.5% (VS SET INDEX ลบ 9.0% YTD) น่าจะสะท้อนปัจจัยด้าน NPL บางส่วนแล้ว จึงให้คำแนะนำ NEUTRAL ราคาเป้าหมาย 35 บาท

     สำหรับกลยุทธ์หุ้น MTC แนวโน้มของราคาแกว่ง Sideway มองแนวรับ 33.50 บาท แนวต้าน 38 / 42.25 บาท 

ปกติครึ่งปีหลังดี

     บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ระบุว่า MTC ไตรมาส 2Q66 กำไร 1,200 ลบ. ลดลง 13.1% YoY แต่เพิ่มขึ้น 12.2% QoQ ทั้งนี้หากดูกำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรองและภาษี (PPOP) ยังเพิ่มขึ้น 20.5% YOY และ เพิ่มขึ้น 9.8% QOQ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ยังเติบโต +22.5% YOY และ +6.5% QOQ  ตามการขยายตัวของสินเชื่อ แต่ผลจากการตั้งสำรอง ECL ที่เพิ่มถึง +93.9% YoY และ +6.6% QoQ ส่งผลให้กำไรยังลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ 

     ขณะที่ในครึ่งปีแรก กำไร 2,270 ลบ. -17.6% YoY โดย PPOP ยังคง +24.5% YoY จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ยังเติบโตตามการขยายตัวของสินเชี่อ แต่เป็นผลจากการตั้งสำรอง ECL ที่เพิ่มถึง +184% YoY ตามการถดถอยของคุณภาพหนี้  

     สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้น 2Q66 +5.7% QoQ และ +10% YTD  และ +24% YoY ยังโตสูงมากจากการรุกขยายสาขา ล่าสุดมีสาขารวม 7,260 สาขา เพิ่มขึ้น 592 สาขาจากสิ้นปีก่อน

     ขณะที่ NPL ณ สิ้น 2Q66 อยู่ที่ 3.36% เพิ่มขึ้นจาก 3.17% ไตรมาสก่อน และ 2.91% สิ้นปีก่อน  ซึ่งเพิ่มขึ้นตามพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก ยังอยู่ในระดับที่ผู้บริหารคาดการณ์  ล่าสุด D/E อยู่ที่ 3.71 เท่า 

     ฝ่ายวิจัยมองกำไร 2Q66 แม้ยังรับผลกระทบจากการตั้งสำรองสูง แต่ค่อยๆ ดีขึ้น QoQ  ทั้งนี้กำไร 1H66 คิดเป็น 44% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา ยังคงไม่ปรับประมาณการลง เนื่องจากปกติผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก และคงรอเข้าร่วมฟังการประชุมนักวิเคราะห์ 10 ส.ค.นี้ก่อน เพื่อ update ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพลูกหนี้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นได้ปรับลงรับข่าวร้ายไปค่อนข้างมาก จนมี upside จาก TP ที่ 38 บาท ราว 12% และกำไร 2Q66 เริ่มค่อยๆ ดีขึ้น จึงปรับคำแนะนำจาก “ขาย” เป็น “ซื้อเก็งกำไร”