จัดทัพลงทุน "หุ้นไทย" สู้ศึกตลาดขาลง สไตล์ "กวี ชูกิจเกษม"
เบิกเนตร! "กวี ชูกิจเกษม"แนะจัดทัพลงทุน"หุ้นไทย"ช่วงครึ่งหลังของปีนี้สู้ศึกตลาดโลกขาลง พร้อมแบ่งไม้รับแบบ VI
นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย กล่าวกับ "ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์" ว่า ภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สิ่งที่ต้องเจอแน่ๆ คือ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างแน่นอน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมากกว่า 5-6% และยังมีท่าทีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เศรษฐกิจอเมริกาจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ จีน อัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำมาก การกระตุ้นเศรษฐกิจจะไหวหรือไม่ ด้วยหลายปัจจัยสะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกชะลอ ส่งออกไทยแย่ กระเทือนต่อการบริโภคในไทย หากไม่ได้การท่องเที่ยวช่วยไว้อาจจะเหนื่อยมากกว่านี้ โชคดีที่ได้การท่องเที่ยวช่วย พอส่งออกแย่ก็มีปัญหาตามมา การลงทุนโดยตรงน้อยลง ซึ่งเกิดขึ้นกับทุกประเทศไม่ใช่ที่ต่างชาติไม่มาลงทุนเพราะมีการเปลี่ยนขั้วการเมือง แม้อาจจะมีผลบ้างแต่คงไม่มีผลทันทีภายใน 3 อาทิตย์หลังการเลือกตั้ง มันก็มีผลมาก่อนหน้านี้
พิธาพาวเวอร์ ?
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังไม่ดีพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และปัจจัยในประเทศมีปัญหาเหมือนกัน แต่แม้ปัจจัยในประเทศดีแค่ไหนถ้าต่างประเทศแย่ หุ้นไทยก็ปรับขึ้นไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะตั้งรัฐบาลได้แล้วเศรษฐกิจโลกแย่แต่หุ้นไทยจะเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ "พิธาพาวเวอร์"อะไรขนาดนั้น คนๆเดียวคงไม่สามารถเปลี่ยนประเทศได้ภายใน 5-6 เดือน ต่อให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ภายใน 1-2ปีนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นอย่าไปซีเรียสเรื่องการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ไม่ได้ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจใน 1-2ปี ข้างหน้าบวกลบต่างกับปัจจุบันเท่าไหร่ แต่ปัจจัยต่างประเทศกดดันหุ้นไทยมากกว่า
"ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจัยในต่างประเทศสำคัญมากกว่าปัจจัยในประเทศ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดดาวโจนส์ปรับตัวลดลงเช่นกัน นี่คือภาพที่เกิดขึ้น พอเราเข้าใจตรงนี้ก็พอจะเข้าใจว่า ถ้าเรายังเจอเรื่องนี้อยู่ หุ้นไทยก็ขึ้นยาก แต่หุ้นไม่ได้ลงขาเดียว ก็มีขึ้นและลง แต่ให้รู้ว่าอยู่ในกรอบขาลง หุ้นอเมริกาก็เหมือนกันอยู่ในกรอบขาลง รีบาวด์ขึ้นเกิน 15% เป็นเรื่องปกติ ซึ่งปีนี้รีบาวด์เกิน 10-15% แต่ของเราตรงกันข้าม ลดลง 10-15% แต่ถ้าเทียบกันในช่วง 2 ปีน่าจะพอๆกัน เพราะปี65 ตลาดอเมริกาลดลง 20-30% แต่ไทยไม่ลง หากวัดกัน 2 ปี หุ้นเราไม่ได้แย่กว่าตลาดหุ้นโลกแต่อย่างใด"
หุ้นขาลง จังหวะขาย รึ ซื้อ ?
ส่วนตัวเคยบอกก่อนหน้านี้ว่าดัชนีมีโอกาสลงมาทดสอบระดับ 1,400 จุด ในตอนนั้นดัชนีปรับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,800 จุดได้ และในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหลุดต่ำกว่าระดับ 1,500 จุดซึ่งส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไร
ตลาดหุ้นขาลงเหมาะกับแนวลงทุนแบบไหน?
ตลาดขาลงเชื่อว่านักลงทุนแนวเก็งกำไรน่าจะรู้วิธีเอาตัวรอด Cut loss เรียบร้อย ในภาวะตลาดไซด์เวย์ขาลงแบบนี้ไม่เหมาะการเก็งกำไร โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เพราะที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ชัดมากว่า เวลาที่หุ้นกลาง-เล็กมีปัญหาส่วนใหญ่มักจะเกิดในช่วงตลาดขาลง แผลมักจะเปิดตอนหุ้นขาลง แต่ตอนขาขึ้นเรื่องบางเรื่องมักจะเงียบ ดังนั้นตอนตลาดหุ้นขาลงจึงไม่เหมาะเก็งกำไร หุ้นกลาง-เล็กยิ่งต้องหลีกเลี่ยงในภาวะตลาดแบบนี้ เพราะสภาพคล่องหาย ใครจะเอาเงินมาซื้อหุ้นตัวเล็ก ดังนั้นการเก็งกำไรเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง สุดท้ายหุ้นตัวใหญ่ดีกว่าในสภาวะแบบนี้
ดังนั้นตลาดขาลงแบบนี้เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว นักลงทุนสายปัจจัยพื้นฐาน(Value Investor)อย่างมาก ส่วนตัวชอบมากมักจะซื้อตอนที่ทุกคนกลัว และกลัวตอนที่ทุกคนกล้า แต่อย่าลืมว่า Downside ตลาดหุ้นยังมีอยู่ ดังนั้นจังหวะตลาดลงจึงต้องทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีเก็บไว้
การแบ่งไม้ซื้อแบบ VI ?
ทริคส่วนตัวเวลาตลาดหุ้นปรับตัวลงทีละ 10% ให้แบ่งซื้อ 1 ไม้ ซึ่งตอนนี้คือเวลาที่ต้องซื้อเพราะนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้หุ้นลงมามากกว่า 10% ดังนั้นหากแบ่งไม้ซื้อ 3 ไม้ นี่คือจังหวะซื้อไม้แรก และหากลงไปทดสอบแถว 1,400 จุดนั่นคือไม้สองที่ต้องซื้อ ส่วนไม้ที่เหลือต้องมาลุ้น ถ้าหลุด 1,400 จุด ซื้อเพิ่มอีกไม้ แต่ถ้าไม่หลุดไม่เป็นไรเพราะซื้อสะสมมา 2 ไม้เรียบร้อย
แต่ทั้งนี้การซื้อสะสมขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน สมมุติความเสี่ยงของเรารับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ไม่มาก เราอาจจะมีหุ้นในพอร์ต 20-30% กรณีรับความเสี่ยงได้มากอาจจะมีหุ้นในพอร์ตราว 50% ส่วนใครที่รับความเสี่ยงได้แบบสุดจัดปลัดบอก มีหุ้นในพอร์ตได้ 80%
"ใครที่รับความเสี่ยงได้มากๆถ้าถือ 80% ควรดูด้วยว่าจะมีหุ้นจำนวนเท่าไหร่ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดการถือหุ้นระยะยาว สำหรับความเสี่ยงของเราอาจจะมีแค่ 40% คือครึ่งหนึ่งที่เราควรมีก็มีไว้ก่อนเพราะหุ้นลงมาเยอะมากจากที่เคยขึ้นไปทำไฮที่ 1,850 จุด ล่าสุดลงมาหลุด 1,500 จุดถือว่าลงมากว่า 300 จุด คิดเป็นราว -20% ดังนั้นควรมีหุ้นครึ่งหนึ่งจากของที่ควรมี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเราจะมีหุ้นในพอร์ตกี่เปอร์เซ็นต์ตามความเสี่ยงเราก่อน แล้วเดี๋ยวอีกไม้ค่อยไปซื้อตอนลงมาแถว 1,400"
หุ้นที่ต้องมี ?
หุ้นที่ต้องหา คือ หุ้น Defensive Stock ที่ลงน้อยกว่าตลาด ซึ่งก็หนีไม่พ้นในหุ้นที่รายได้นิ่งๆ ไม่ผันผวนมาก และที่สำคัญคือมีปันผล อาทิ 1.กลุ่มโรงแรม ปันผลน้อยเพราะกำไรเพิ่งฟื้น AOT / MINT ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ถือเป็น Special Issue สำหรับประเทศไทยที่ฟื้นอยู่ 2.หุ้นกลุ่มค้าปลีก ปันผลกลางๆ 2-3% อย่าง CPALL / HMPRO
3.โรงพยาบาล BDMS ปันผลอาจไม่โดเด่น 4.ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เหวี่ยงน้อย เช่น BBL มีสินเชื่อรายใหญ่ / KTB สินเชื่อภาครัฐ ความผันผวนน้อย ปันผลดีมาก 5.กลุ่มท่องเที่ยว CPN ราคาลงมาค่อนข้างเยอะ น่าเป็นกลุ่มที่เหมาะสำหรับการทยอยซื้อเก็บไม้แรก
จากนั้นหากตลาดหุ้นลงมาได้สักพัก ไม้ที่สองจะเริ่มเปลี่ยนกลุ่ม ไปซื้อหุ้น Growth Stock (หุ้นเติบโต) หรือ หุ้นวัฎจักร (Cyclical Stock)ได้มากขึ้น ดังนั้นอาจจะหาหุ้น 1.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะรีบาวด์ช่วงดอกเบี้ยขาลง แต่ตอนนี้ดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น 2.พลังงานปิโตรเคมี IVL / PTTGC / TOP / PTTEP รอราคาลงมาก่อนค่อยซื้อ 3.เทคโนโลยี KCE ราคาลงมาน่าเก็บสะสม COM7สินค้าฟุ่มเฟือยรอเศรษฐกิจฟื้น เริ่มเก็บมากขึ้น และไม้สุดท้าย ให้เก็บส่วนที่เหลือ
"แต่ถ้าอยากเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาอีกนิด แนะนำหุ้นกลุ่มยานยนต์ ผลจากในประเทศกำลังสนับสนุนรถ EV เหมือนตลาดใหม่ที่เข้ามาก็ขายดีเหมือนเป็นตัวเสริม ยอดผลิตรถยนต์ปีนี้สวย ปีหน้ายิ่งดีเพราะรถไฟฟ้าจะเกิดอีกหลายค่าย ช่วยให้พวกชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ๆอยู่ได้ แต่รายเล็กอาจจะเหนื่อยหน่อย ปรับตัวยาก แต่ใหญ่ๆในตลาดหุ้นจะเป็นกลุ่มยานยนต์ที่ดี ทั้ง AH , STANLY ปันผลดีมาก อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในพอร์ตนิดนึง ดังนั้นให้ผสมผสานหุ้นทั้ง 5 ตัวที่แนะนำน่าจะช่วยให้ผ่านช่วงตลาดหุ้นขาลงได้ในระดับหนึ่ง จากนั้นหากลงไป 1,400 หุ้นที่ลงแรงอย่างพลังงาน, อิเล็กฯ, ปิโตรฯจะลงแรงมากในช่วงเวลานั้น ค่อยหาจังหวะซื้อสะสม"


