posttoday

BGRIM เดินหน้าลุยโครงการใหม่-ซื้อกิจการ-ปั้มยอดลูกค้าIU

15 พฤษภาคม 2566

"บี.กริม เพาเวอร์"กำไร Q1/66 พุ่ง 1,634.8% โรงไฟฟ้า SPPฟื้นหลังปรับค่า Ft บวกโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุน ชูธงลุยโครงการใหม่-ซื้อกิจการ อัพกำลังผลิตอีก 528เมกะวัตต์ พร้อมขยายลูกค้าIU

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิ 398.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,634.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23.30 ล้านบาท โดยกำไรฟื้นตัวฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง จากการฟื้นตัวของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP และมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยประสบความสำเร็จในการลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า(heat rate) ถึง 4.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม ทั้ง 5 โครงการและปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 200,000 ตันต่อปี

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้รวมที่ 15,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีปริมาณขายไฟฟ้าอยู่ที่ 3,335 กิกะวัตต์-ชั่วโมง จาก 1)ราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น (กฟผ.,ลูกค้าอุตสาหกรรมหรือIU,ไอน้ำ)สอดคล้องตามราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น และ 2)การเติบโตของรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศไทย

อีกทั้ง บริษัทมี EBITDA ฟื้นตัว 50.7% เป็น 3,273 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจาก 1)การฟื้นตัวของโรงไฟฟ้ากลุ่ม SPP ภายหลังการปรับขึ้นของค่า Ft เป็น 154.92 สตางค์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในเดือน ม.ค.-เม.ย.66 จาก 16.17สตางค์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในช่วงเดียวกันของปีก่อน 2)สามารถลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยลงประมาณ 4.6% อันเนื่องมาจากการเปิดดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม และการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และ 3)กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากกำลังการผลิตและราคาขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

โดยมี EBITDA margin ฟื้นตัวเป็น 20.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 14.7% แต่ยังคงต่ำกว่าตัวเลขในปี 64 ที่ 26.6%

บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า SPP ใหม่ 2โครงการ BGPAT2&3 กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 280 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้า 74% และ 92% ตามลำดับ มีกำหนดการ CODในปี66, การก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน อู่ตะเภา เฟสแรก ขนาด 18เมกะวัตต์ มีความคืบหน้า 89% มีกำหนดการ CODในปี 66,โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GIFUขนาด 20 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น มีความคืบหน้า 12% มีกำหนดการ COD ใน67 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม แบบติดตั้งบนบก KOPOS ขนาด 20 เมกะวัตต์ ในประเทศเกาหลีใต้ มีความคืบหน้า 16% มีกำหนดการ COD ในปี 67

อย่างไรก็ดี แนวโน้มปี 66 บริษัทมุ่งขยายการลงทุนทั้งโครงการใหม่และการเข้าซื้อกิจการ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 528เมกะวัตต์ในปี66 ประกอบด้วยโครงการ โรงไฟฟ้า SPPเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม(BGPM2) โครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสานอู่ตะเภา และโครงการโรงไฟฟ้าSPPใหม่ 2โครงการ(BGPAT2&3) รวมถึงการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมาเลเซีย2โครงการ(BGMCSBและ ISSB)

นอกจากนี้ ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรม(IU)รายใหม่ เข้าเชื่อมระบบรวม 50-60 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการดำเนินการตามแผนควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 50-70 ล้านบาท การปรับค่า Ft จาก 0.9343 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 1.5492 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในเดือน ม.ค.-เม.ย.66 และ 0.9119 บาท ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในเดือน พ.ค.-ส.ค.66 และคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยสำหรับ SPP อยู่ที่ 400-450 บาทต่อล้าน BTUในปี66 จาก 476 บาทต่อล้าน BTUในปี 65
 

ข่าวล่าสุด

เสร็จก่อนกำหนด! มอเตอร์เวย์ M6 วิ่งฟรี บางปะอิน-โคราช รับปีใหม่ 69