posttoday

แบงก์ไทยไร้ผลกระทบวิกฤตภาคธนาคารสหรัฐ เหตุเงินกองทุนฯ แกร่ง สภาพคล่องสูง

03 พฤษภาคม 2566

โบรกฯ ชี้ต้นเหตุวิกฤตแบงก์สหรัฐ จากดอกเบี้ยสูง กระทบตลาดหุ้นไทยในเชิงจิตวิทยา แต่ไม่กระทบต่อแบงก์ไทยในเชิงธุรกิจ เหตุเงินกองทุนฯ แกร่ง สภาพคล่องสูง แนะสะสมเพิ่มหุ้นแบงก์ใหญ่ คุณภาพสินทรัพย์ดี ช่วงตลาดปรับตัวลง ชู KTB-BBL-TTB เด่น

ดูเหมือนวิกฤตธนาคารในสหรัฐอาจจะลุกลาม หลังจากบรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ได้เข้าควบคุมกิจการของ First Republic Bank (FRB) จากนั้นได้เปิดการประมูลขายกิจการ FRB ซึ่งธนาคาร JP Morgan ชนะการประมูล และครอบครองสินทรัพย์เกือบทั้งหมดของ FRB รวมทั้งเงินฝาก

ล่าสุด ราคาหุ้นของ Regional Bank อย่าง PacWest Bancorp และ Western Alliance ร่วงแรง จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจเป็นธนาคารต่อไปที่จะเกิดปรากฏการณ์ “แบงก์ล้ม” และจะกระทบมายังตลาดหุ้นไทย และหุ้นกลุ่มแบงก์ หรือไม่ โดยวันนี้ “โพสต์ทูเดย์” จะพาไปดูมุมมองของนักวิเคราะห์ต่อสถานการณ์ดังกล่าว 

นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวมองว่าส่งผลกระทบไม่มากต่อตลาดหุ้นไทย และหุ้นกลุ่มแบงก์ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น รวมไปถึงหุ้นกลุ่มแบงก์ด้วย 

อย่างไรก็ตาม เป็นผลกระทบในเชิงจิตวิทยาเท่านั้น เนื่องจากพื้นฐานของแบงก์ไทยยังไม่ได้มีปัญหาอย่างที่แบงก์ของสหรัฐเกิดขึ้น และมีความน่าจะเป็นไม่สูง จากสภาพคล่องที่มีค่อนข้างมาก ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรัฐบาลก็ไม่ได้กว้างมากเหมือนของสหรัฐ ธุรกรรมที่แบงก์ไทยมีกับแบงก์สหรัฐตรงๆ ก็มีน้อย ส่วนแบงก์ไทยจะมีความน่ากังวลอย่างแบงก์สหรัฐหรือไม่นั้น มองว่าในเชิงธุรกิจของแบงก์ไทยคงไม่ได้มีผลกระทบ

ขณะที่แบงก์ไทย เป็นธุรกิจดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นการปล่อยกู้ มุ่งทำธุรกิจในประเทศ ไม่ได้มีธุรกรรมต่างประเทศไทยมากนัก ดังนั้นปัจจัยที่ต้องติดตามสำหรับแบงก์ไทย คือ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านมองว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัว ประมาณกว่า 3%

2.การท่องเที่ยว เพราะแบงก์ไทย ในส่วนที่เป็นหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยว 3.การเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจพอสมควร รวมไปถึงนโยบายของพรรคใหม่ๆ เน้นไปที่การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้สิน ซึ่งต้องติดตามว่าจะมีกฏเกณฑ์ใหม่ๆ กระทบกลุ่มแบงก์บ้างหรือไม่  

และ 4.ทิศทางดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่าในเดือน พ.ค.นี้ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 2% อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อล่าสุด เดือน เม.ย.2566 ยังเกิน 2% ดังนั้นทิศทางดอกเบี้ย หากยังปรับขึ้นได้ หรือปรับขึ้น ยืน และยังไม่ปรับลง ก็จะเป็นบวกกับกลุ่มแบงก์ เพราะแบงก์ส่งผ่านได้ค่อนข้างดี และช่วยเรื่องมาร์จิ้นของแบงก์เองด้วย แต่หาก กนง.ส่งสัญญาณว่าไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ ต้องปรับลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นลบกับกลุ่มแบงก์ 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนสำหรับกลุ่มแบงก์ แนะนำให้ Overweight โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง เพระตลาดหุ้นลงรอบนี้ มองกรอบดัชนีที่ระดับ 1,500-1,520 จุด คาดว่าไม่น่าหลุด 1,500 จุด จึงเป็นโซนสะสมเพิ่ม มองหุ้นแบงก์ใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ดึงตลาดกลับมาในรอบนี้ เน้นเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่ โดยแนะนำ “ซื้อ” KTB ราคาเป้าหมาย 20.40 บาท BBL ราคาเป้าหมาย 180 บาท และ TTB ราคาเป้าหมาย 1.72 บาท 

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ปัญหาภาคธนาคารของสหรัฐมีออกมาเรื่อยๆ ล่าสุด FRB ซึ่งถูกแก้ปัญหาโดยการที่ JP Morgan เข้าไปซื้อกิจการ มองว่าปัญหาของภาคธนาคารของสหรัฐ เกิดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยขึ้นไปสูง ส่งผลให้มูลค่าพันธบัตรลดลง 

ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ปัญหาดังกล่าวยังไม่คลี่คลายมากนัก โดยจะเห็นได้จากราคาหุ้นแบงก์ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และ Regional Bank ยังมีการปรับตัวลงต่อเนื่อง สุดท้ายจะต้องดูว่าสามารถเรียกความเชื่อมั่นได้หรือไม่ เพราะธุรกิจแบงก์ หลักๆ อยู่ที่ความเชื่อมั่น ถ้าหมดความเชื่อมั่นก็ยากที่จะไปต่อได้

“ตัวเริ่มต้นปัญหา คือ ดอกเบี้ย ยังไม่ถูกแก้ไข ก็คงต้องมอนิเตอร์ต่อไปในส่วนของแบงก์สหรัฐ ถ้าดอกเบี้ยยังปรับขึ้นต่อ ความเสี่ยงตรงนี้ก็ยังไม่ได้หายไป” นายภาสกร กล่าว 

ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และแบงก์ไทย เป็น Sentiment เชิงลบ แต่คงไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง เพราะแบงก์ไทยไม่ได้มีธุรกรรมกับ Regional Bank ของสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย อยู่ที่ 1.75% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ อยู่ที่ 5% ดังนั้นปัญหาจะไม่เกิดขึ้นเหมือนในสหรัฐ ประกอบกับเงินกองทุนฯ ของแบงก์ไทยแข็งแกร่ง โดยรวมอยู่ที่ 19% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ระดับ 11-12% รวมทั้งการควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการคสบคุมค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา 

ปัจจัยที่ต้องติดตามสำหรับแบงก์ไทย ได้แก่ 1.ทิศทางอัตราดอกเบี้ย กนง. ซึ่งหากดูจากอัตราเงินเฟ้อเดือน เม.ย.2566 ที่ระกับ 2.67% ก็ไม่ได้เร่งตัวขึ้น ดังนั้นดอกเบี้ยไทยน่าจะถึงปลายทางของดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว คาดว่าปีนี้ ดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ 1.75-2% 2.คุณภาพสินทรัพย์ จะต้องดูในเชิงของการเติบโตเศรษฐกิจ จากการกระจายตัวของภาคท่องเที่ยวเข้าสู่เศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้ภาคท่องเที่ยวคงน่าจะมีทิศทางฟื้นตัว แต่อาจจะไม่ได้ส่งผลทั่วถึงมากนัก อีกทั้งต้องดูตัวเลขการส่งออกด้วย   

ด้านกลยุทธ์การลงทุนสำหรับกลุ่มแบงก์ เลือกหุ้นแบงก์ใหญ่ ที่มีคุณภาพสินทรัพย์ดีเมื่อเทียบกับแบงก์อื่น แนะนำ “Outperform” ชู KTB ให้ราคาเหมาย 20.30 บาท กับ BBL ราคาเป้าหมาย 174 บาท 

ข่าวล่าสุด

เสร็จก่อนกำหนด! มอเตอร์เวย์ M6 วิ่งฟรี บางปะอิน-โคราช รับปีใหม่ 69