posttoday

บล. ทรีนีตี้ เปิดโผหุ้นเด่นโยงเศรษฐกิจภายใน รับแรงบวก Election rally

28 มีนาคม 2566

บล.ทรีนีตี้ เปิดโผหุ้นเด่น 6 กลุ่ม คือ สื่อและสิ่งพิมพ์ การแพทย์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร เงินทุนและหลักทรัพย์ ขนส่งและโลจิสติกส์ และพาณิชย์ รับแรงบวกช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง หรือ Election rally

ทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ ประเมินสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ในส่วนของปัจจัยดึงดูดที่สำคัญในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 นี้นั้น คงหนีไม่พ้นสีสันทางด้านการเลือกตั้งที่จะเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อ Sentiment ในตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ หากตรวจสอบดู Timeline ของเหตุการณ์ที่สำคัญที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปของไทยในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะได้แก่

  • วันที่ 3-7 เมษายน: การรับสมัครส.ส.แบ่งเขต
  • วันที่ 4-7 เมษายน: การรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงการแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
  • วันที่ 7 พฤษภาคม: วันเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในเขตและนอกเขตเลือกตั้ง 
  • วันที่ 14 พฤษภาคม: วันเลือกตั้งทั่วไป

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้าการเลือกตั้งของไทยมักมากับเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงด้วยแคมเปญต่าง ๆ รวมถึงการออกมาให้คำมั่นสัญญาทางด้านนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามาช่วยปากท้องของประชาชนในช่วงถัดไป ซึ่งสุดท้ายแล้วจะเกิดขึ้นจริงได้มากเท่าไหร่นั้นย่อมไม่มีใครรู้ แต่ในส่วนของความคาดหวังของคนนั้น มักจะเกิดขึ้นนำหน้าไปก่อนเสมอ ไม่ต่างจากการเลือกตั้งรอบนี้ที่เราประเมินว่าจะเห็นภาพดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราพิจารณาว่า ณ ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยเพิ่งอยู่ในเฟสของการฟื้นตัวหลังจากช่วงโควิดได้ไม่นาน แถมยังเจอปัญหาเงินเฟ้อที่เข้ามาเพิ่มภาระค่าครองชีพล่าสุดเข้าไปอีก ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีความกระหายต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนโยบายภาครัฐ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของมาตรการการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่ายค่าครองชีพ หรือรวมไปถึงการลดภาระหนี้

นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ที่หลายพรรคการเมืองนำมาใช้ในการหาเสียงอยู่ ณ ปัจจุบัน ย่อมนำมาสู่ความคาดหวังทางด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งในทางทฤษฎีมักนำมาสู่การบริโภคจับจ่ายใช้สอยที่เกิดขึ้นก่อนในปัจจุบันด้วยเช่นกัน

จากการคาดการณ์ของหอการค้าไทยล่าสุด ได้ประเมินว่าจะมีเงินสะพัดในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ราว 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมได้ราว 1.0-1.2 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ประมาณ 0.5-0.7%

ทั้งนี้ จากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาพบว่า ตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงสองสัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้งไปจนถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ซึ่งให้คำจำกัดความในช่วงเวลานี้ว่าปรากฏการณ์ ‘Election rally’

โดยที่มีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 6% ซึ่งมีระดับ Maximum และ Minimum return อยู่ที่ +16.5% และ +0.1% ตามลำดับ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ SET Index ไม่เคยให้ผลตอบแทนติดลบเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่มักจะปรับตัวได้ดีในช่วงปรากฏการณ์ Election rally ทุก ๆ ครั้ง จะพบว่ากระจุกอยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในหรือ Domestic play เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ และกลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น

ทังนี้แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic play ข้างต้น เพื่อรองรับกับปรากฏการณ์ Election rally ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า กลุ่มหุ้นเหล่านี้ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นมามากนัก หากนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ในแง่ Valuation ส่วนใหญ่ ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่ตึงตัวมากนัก

ในส่วนของตัวหุ้นที่เลือกมานั้น ส่วนใหญ่ก็กระจุกอยู่ในกลุ่ม Domestic play เหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นก็คือ กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET100 และอยู่นอกเหนือ SET100 (Non-SET100) ซึ่งมีรายชื่อดังต่อไปนี้

รายชื่อหุ้นแนะนำในดัชนี SET100 ได้แก่ ADVANC, BBL, BGRIM, BH, CBG, CENTEL, CRC, DOHOME, PTG, SABUY
รายชื่อหุ้นแนะนำในดัชนี Non-SET100 ได้แก่ BVG, BWG, ETC, HTC, MENA, OTO-W1, PR9, SAPPE, SFLEX, SNNP

 

SET100

Catalyst

ADVANC

คาดดีล TTTBB จบ 2Q66 นี้ หนุนธุรกิจเน็ตบ้าน มี Synergy แน่นอน พร้อมขยายธุรกิจไปดาต้าเซ็นเตอร์ ธุรกิจคลาวด์

BBL

มีโอกาสโตจากการรุกตลาดบัตรเครดิต สำรองหนี้และเงินกองทุนแข็งแกร่งสุด แต่ PBV ต่ำสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่

BGRIM

1Q66 พลิกกับมากำไร จากค่า Ft ที่ ปรับมาอยู่ที่ 158 สตางค์ จาก 93.43 สตางค์ รวมถึงแนวโน้มค่าเชื้อเพลิงที่เป็นเทรนด์ขาลง

BH

ยังคงทำรายได้และกำไรระดับ New High ต่อเนื่อง จากการปรับเพิ่ม Pricing และเพิ่ม Capacity ในการรับบริการ ด้าน Margin ยังทำได้กว่า 20% และมี Upside จากรายได้ของคนไข้ต่างชาติที่ยังกลับมาไม่ครบ 100%

CRC

คาดกำไร 1Q66 โตโดดเด่นสุดในกลุ่มจากนักท่องเที่ยวกลับมาและ มาตรการ "ช้อปดีมีคืน"

CBG

รายได้ในประเทศและส่งออกมากขึ้น จากการทำโปรโมชั่น พร้อมการเปิดตัวสินค้าใหม่ ในขณะที่ต้นทุนขวดแก้วปรับตัวลดลงตามค่าก๊าซ

CENTEL

FOOD : SSS และ TSS คาดเติบโตได้ Double digits และสามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นแม้ค่าวัตถุดิบจะสูงขึ้น

HOTEL : โรงแรมในประเทศยังฟื้นตัวทั้ง QoQ และ YoY และค่าไฟที่ลดลงหนุน Margin กลุ่มโรงแรมให้สูงขึ้น ด้านโรงแรมในต่างประเทศมี RevPar สูงกว่าปี 2019

DOHOME

คาดผลประกอยการ 4Q65 bottom แล้ว 1Q66 ฟื้นตัวจากธุรกิจก่อสร้าง และต้นทุนค่าระวางเรือลดลง

PTG

ค่าการตลาดปรับเพิ่มขึ้นหลัง ลดเก็บเงินเข้ากองทุน แถบท่องเที่ยวบูมหนุนยอดขายน้ำมัน

SABUY

ปี 66 ตั้งเป้ารายได้ที่ 20,000 ล้านบาท จากรายได้ปี 65 ที่ 5,300 ล้านบาท ใช้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการเติบโตจาก 6 กลุ่มธุรกิจ (Machine/Kiosk 2.9 BTHB, Consumer Merchandising 3.2 BTHB, Financial Service 1 BTHB, Drop Off Shop & Service 3.3 BTHB, Solution & Platform 3.5 BTHB, Innotainment & Infrastructure 6 BTHB)

Non-SET100

Catalyst

BVG

ธุรกิจมีคูเมืองที่แข็งแกร่งจาก Ecosystem และ Big Data มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการด้วยระบบ AI การเติบโตค่อนข้างสดใส ทั้งในไทย และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ

BWG

คาดปี 2566 โอกาสพลิกกลับมากำไร ธุรกิจกำจัดขยะกลับมาปกติ พร้อมขยายโรงเชื้อเพลิง SRF รองรับโรงไฟฟ้า ETC ซึ่งคาดจะประกาศผู้ชนะ 5 เม.ย. นี้

ETC

ประกาศผู้ชนะโรงไฟฟ้าขยะ 5 เม.ย. นี้ คาดบริษัทจะชนะอย่างน้อย 5 โครงการ ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 3 เท่า และ EPS โตกว่า 5 เท่า

HTC

ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การปรับขึ้นราคาขาย การปรับสูตรน้ำตาล และผลกระทบด้านต้นทุนวัตถุดิบ (PET) ที่ลดลง

MENA

ร่วมทุนตะวันแดง ช่วยบริหารรถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับบริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส พร้อมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทันที 15-20 ลบ. +30% ของกำไร

OTO-W1

Deeply Undervalued ราคา warrant บวกราคาใช้สิทธิ ยังต่ำกว่า OTO ครึ่งหนึ่ง

PR9

ทำรายได้และกำไรระดับ New High จากการเพิ่ม Ward การรักษา และเพิ่มศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และยังคงเป็นที่นิยมด้านการเปลี่ยนไต โดยเพิ่มกลุ่มคนไข้เปลี่ยนไตจากกลุ่ม CLMV และการเพิ่มสัดส่วนโรคซับซ้อนที่มีรายได้/บิลสูง เริ่มมีการ Utilize อาคารใหม่ รองรับคนไข้ที่เพิ่มขึ้น

SAPPE

คาด 1Q66 โตแรง YoY และ QoQ หน้าร้อนหนุนรายได้เครื่องดื่ม พร้อมการเปิดตัวสินค้าใหม่ โมกุ โมกุ 2 รสชาติที่ขายดีในต่างประเทศ ด้านต้นทุน packaging ปรับตัวลดลงหนุนการขยายตัวของ GPM

SFLEX

Gross Margin ปรับเพิ่มเท่าตัว ต้นทุนพลาสติกปรับลดลง เตรียมประเทศดีล M&A เวียดนาม พร้อมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทันที

SNNP

1Q66 โตจากการบริโภคในประเทศขยายตัว, หน้าร้อนสินค้าเจเล่ขายดี รวมถึงรายได้ต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม

 

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงแรกของไตรมาส 2 ในภาพรวมม มองว่าจะปรับตัวอยู่ในเกณฑ์ดี รับปัจจัยผลักดันทางด้านสภาพคล่องที่มีที่มาส่วนหนึ่งจากการเติมเต็มสภาพคล่องในระบบการเงินของสหรัฐฯและยุโรปที่ผ่านมา

ด้วยมาตรการที่สำคัญได้แก่ USD Liquidity Swaps ที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จับมือร่วมกับอีก 5 ธนาคารกลางขนาดใหญ่ (Coordinated action) ในการเติมเต็มสภาพคล่องของเงิน USD ที่ขาดหายไป ซึ่งหากอ้างอิงในอดีต จะพบว่ามาตรการดังกล่าวมักนำมาสู่ Turning point ของเงิน USD ได้อย่างสำคัญ 

ไม่เว้นรอบนี้ ที่ประเมินว่านับตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของมาตรการดังกล่าว เงิน USD มีแนวโน้มจะทรงตัวอ่อนค่าอยู่ในระดับต่ำต่อไป เป็นอานิสงส์ต่อสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม รวมถึงสกุลเงินต่าง ๆ ในประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทยด้วย