posttoday

ปตท.สผ. สำรองทุน 1.66 แสนล้าน ปักหมุดธุรกิจใหม่ใน 5 ปี หวังเก็บกำไร 20% ในปี 73

07 กุมภาพันธ์ 2566

ปตท.สผ. เตรียมสำรองเงินลงทุน 1.66 แสนล้านบาท เพื่อแจ้งเกิดธุรกิจใหม่ใน 5 ปี มุ่งรับมือการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมพลังงาน หวังภายในปี 2573 เก็บสัดส่วนกำไรจากธุรกิจใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า 20%

นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมสำรองเงินลงทุน 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  หรือประมาณ 166,052 ล้านบาท ในแผน 5 ปี (ปี 2566-2570) เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจใหม่รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยตั้งเป้าสัดส่วนกำไรจากธุรกิจใหม่ไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2573

 

โดย ปตท.สผ. อยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนาธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจไฟฟ้า อย่าง Gas to Power LNG to Power Renewable เป็นต้น รวมถึงธุรกิจ CCS ธุรกิจการดักจับคาร์บอนและการใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) ธุรกิจไฮโดรเจนสะอาด รวมทั้งการต่อยอดเทคโนโลยีที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์

 

ทั้งนี้งบลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้รวมการซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งหากมีโอกาสที่ดี หรือมองเห็นว่าสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ทางปตท.สผ.ก็พร้อมที่จะพิจารณาเข้าลงทุน โดยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) จะเน้นการลงทุนในโครงการก๊าซธรรมชาติที่มีต้นทุนค่อนข้างต่ำ ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่กำหนด ทั้งในพื้นที่ประเทศไทย มาเลเซีย หรือตะวันออกกลาง  

 

บริษัทตั้งงบลงทุนทั้งปี 66 ไว้ที่ 5,481 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 191,818 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ทั้งการเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการจี 1/61 โครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการเอส 1 และโครงการผลิตในประเทศมาเลเซีย

 

นอกจากนี้ ยังเร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ แหล่งลัง เลอบาห์ ในโครงการมาเลเซีย เอสเค 410 บี และโครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึง การเร่งการสำรวจในโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย มาเลเซีย และโอมาน         

 

นางสาวอรชร กล่าวอีกว่า สำหรับการยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งที่ 24 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/65, G2/65 และ G3/65 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต บริษัทได้ยื่นประมูลขอรับสิทธิในครั้งนี้ด้วยทั้ง 3 แปลง คาดว่าจะสามารถประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกภายในเดือนนี้ ซึ่ง ปตท.สผ. เชื่อว่าจะเพิ่มศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัทได้

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1/66 และทั้งปี 66 ไว้ที่ประมาณ 472,000 และ 470,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 468,130 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยจะมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมโครงการจี 1/61 (เอราวัณ) รวมถึงการเปิดประเทศจีนน่าจะเป็นผลดีต่อบริษัทฯ เนื่องจากทำให้อุปสงค์น้ำมันดิบฟื้นตัวดียิ่งขึ้น

 

ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยในไตรมาส 1/66 และทั้งปี 66 คาดจะอยู่ที่ประมาณ 6.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู และ 6.1 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ลดลงจากปีก่อน เป็นตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 75-90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

 

ทั้งนี้ต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) คาดว่าจะลดลงได้เล็กน้อย หรืออยู่ในช่วง 27-28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยหลักมาจากรายจ่ายค่าภาคหลวงต่อหน่วยที่ลดลงตามราคาขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท และค่าเสื่อมราคาต่อหน่วยที่ลดลง

 

ส่วนความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) ยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ 70-75%