มาสเตอร์ส สไตล์ จ่อเข้าไอพีโอ 65 ล้านหุ้น คาดเข้า เอ็มเอไอ ภายในต้นปี 2566
MASTER เดินหน้าตามแผนระดมทุนไอพีโอ (IPO) 65 ล้านหุ้น ตอกย้ำการพัฒนาพื้นที่โรงพยาบาลแห่งเดิมให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการ พร้อมคาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หรือ mai ภายในต้นปี 2566
นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้บริษัทมุ่งมั่นยกระดับเป็นศูนย์กลางด้านศัลยกรรมแบบครบวงจรที่สามารถรองรับการให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศไทย และทั่วทุกมุมโลก รวมถึงเดินหน้าแผนระดมทุนไอพีโอ (IPO) เพื่อตอกย้ำการพัฒนาพื้นที่โรงพยาบาลแห่งเดิมให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการ
ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเดินหน้าเข้ามาระดมทุน เสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวนรวมไม่เกิน 65,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทคิดเป็น 27.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งหากแผนการระดมทุนแล้วเสร็จ จะทำให้บริษัทถือเป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมแห่งแรกในตลาดทุน ทั้งนี้บริษัทและคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หรือ mai ในหมวดธุรกิจบริการ ภายในต้นปี 2566
“ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะเป็นเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัท และจากการจัดโรดโชว์บริษัทได้การตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุน สะท้อนถึงความสนใจในธุรกิจโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ มากยิ่งขึ้น ซึ่งนับจาก 9 ปีที่ผ่านมา MASTER ได้มุ่งมั่นให้ความสำคัญในการวางรากฐานและพัฒนาระบบต่างๆ สอดคล้องกับตัวเลขผลการดำเนินงานที่มีทิศทางการเติบโตที่สม่ำเสมอ”นายแพทย์ระวีวัฒน์
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2562 – 2564 และงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 414.03 ล้านบาท 611.06 ล้านบาท 659.51 ล้านบาท และ 1,011.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 47.59 ร้อยละ 7.93 และร้อยละ 133.99 ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 61.25 ล้านบาท 128.55 ล้านบาท 162.80 ล้านบาท และ 222.22 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 14.66 ร้อยละ 20.89 ร้อยละ 23.59 และร้อยละ 21.86 ตามลำดับ


