KTB-SCB ลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% และเงินฝาก 0.05%-0.10%
กรุงไทย-ไทยพาณิชย์ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี บรรเทาภาระทางการเงินให้ประชาชน-ภาคธุรกิจ และปรับลดดอกเบี้ยเงิน 0.05-0.10%
KEY
POINTS
- ธนาคารกรุงไทย (KTB) และไทยพาณิชย์ (SCB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เพื่อสนองนโยบายของ กนง. และช่วยลดภาระทางการเงินให้แก่ลูกค้า
- ทั้ง 2 ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.05% - 0.10% ซึ่งเป็นการปรับลดในอัตราที่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินกู้
- การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกรุงไทยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2568 ส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์มีผลวันที่ 23 ธ.ค. 2568
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยขานรับมติ กนง. ดังกล่าว
ล่าสุด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระทางการเงินให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป สะท้อนบทบาทของธนาคารที่ยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลา
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากความท้าทายรอบด้าน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ธนาคารจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบธุรกิจอิสระ และผู้ประกอบการ SME สนับสนุนการประคองธุรกิจ การจ้างงาน และการดำรงชีวิตของประชาชนให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ทั้งยังสอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ประกอบด้วย
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลง 0.25% จาก 6.62% เหลือ 6.37% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลง 0.10% จาก 6.50% เหลือ 6.40% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลง 0.10% จาก 7.045% เหลือ 6.945% ต่อปี
ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝาก 0.05%-0.10% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ปรับลดน้อยกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ เป็นแนวทางเพิ่มเติมในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้า ควบคู่กับมาตรการทางการเงินอื่น ๆ ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ แผ่นดินไหว น้ำท่วม โดยล่าสุดมีมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยในเขตพื้นที่สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ในภาคใต้ รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน อาทิ โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” และเตรียมพร้อมดำเนินมาตรการยกระดับศักยภาพธุรกิจตามแนวทาง Reinvent Thailand พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และมาตรการสนับสนุนสินเชื่อใหม่ โดยกลไกค้ำประกัน สินเชื่อ SME ของ ธปท. ในระยะถัดไป เพื่อบรรเทาภาระหนี้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
ธนาคารยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน ยืนหยัดเดินหน้าเคียงข้างลูกค้าและประชาชนในทุกสถานการณ์ เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถฟื้นตัว ปรับตัว และก้าวข้ามความท้าทาย ทางเศรษฐกิจไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน
เช่นเดียวกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ขานรับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05% - 0.10% ต่อปี แต่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าบุคคลไว้ เพื่อสนับสนุนทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ด้วยการบรรเทาภาระทางการเงินของลูกค้าบุคคลและธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ปัจจุบันลูกหนี้กลุ่มเปราะบางยังมีหนี้สูง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทั้งผลกระทบของมาตรการค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และแรงกดดันต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs
การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระการชำระหนี้และเสริมสภาพคล่อง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลมาตรการทางการเงินของภาครัฐ ที่มุ่งลดความเปราะบางของภาคครัวเรือนและช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถปรับตัวเพื่อดำเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลง 0.10-0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.500% เป็น 6.400% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.675% เป็น 6.425% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.775% เป็น 6.675% ต่อปี
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารได้ปรับลดลง 0.05-0.10% ต่อปี โดยธนาคารไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าบุคคลธรรมดาลง เพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินในภาวะดอกเบี้ยต่ำ
ธนาคารยังคงพร้อมสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงิน ควบคู่ไปกับความช่วยเหลืออื่นๆ ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง


