ผู้ว่า ธปท. พร้อมดูแลเศรษฐกิจไทย ชี้ยังมีพื้นที่ลดดอกเบี้ยได้
ผู้ว่า ธปท. พร้อมใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ดอกเบี้ยนโยบายยังมี room ที่ปรับลดลงได้ เพื่อดูแลเศรษฐกิจไทย ต้องการเห็นเงินบาทอยู่ในระดับเหมาะสม สะท้อนเศรษฐกิจที่แท้จริง
KEY
POINTS
- ธปท. พร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อดูแลเศรษฐกิจหากมีความจำเป็น
- ผู้ว่าการ ธปท. ชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังพอมีพื้นที่ (room) ที่จะสามารถปรับลดลงได้อีก โดยจะพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจ
- จุดยืนของ ธปท. ต้องการเห็นเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง
“วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. พร้อมใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อดูแลภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หากมีความจำเป็นที่จะสามารถสนับสนุนเศรษฐกิจได้ โดยมองว่าขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของไทยยังพอมี room ที่จะสามารถปรับลดลงได้
"เราต้องดูข้อมูลที่จะออกมาและต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจที่ไม่ดีนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันเรื่อง K shape สังคมสูงวัยทุกเรื่องมารวมกันการลดดอกเบี้ยมีผลในการเปลี่ยนเรื่องพวกนี้จำกัดแต่ถามว่าลดดอกเบี้ยแล้วมีอะไรช่วยก็ทำให้ผ่อนคลายเรื่องสภาพคล่องทำให้คนจ่ายหนี้ได้เป็น NPL น้อยลง ถามว่าลด (ดอกเบี้ย) ได้ไหมก็กำลังดูข้อมูลอยู่ก็มี room ที่จะลดต่อได้ แต่ถ้าถามว่า terminal rate เท่าไร คงตอบไม่ได้ ต้องดีเบทกันพอสมควรและขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้น"
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น มีสาเหตุหลักสำคัญจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยแรก มาจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า โดยตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าไปแล้ว 7% ส่งผลให้ทุกสกุลเงินแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีกปัจจัย มาจากการที่ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างสูง อันเนื่องมาจากมูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ดีตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
“มันเป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐานจริง ๆ คือดอลลาร์อ่อนค่าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง หวังว่าปีหน้าจะดีขึ้น เพราะการเกินดุลน่าจะลดลง ส่งออกก็น่าจะกลับมาสู่สมดุล เพราะเมื่อต้นปี มัน front load ไป การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้าก็น่าจะลดลงผ่อนคลายลง”
โดยจุดยืนของ ธปท. คือต้องการเห็นเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม การดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนหนึ่งต้องคำนึงถึง 3 กฎเกณฑ์สากลของสหรัฐฯ ที่ใช้ติดตามประเทศคู่ค้า คือ การเกินดุลกับสหรัฐฯ 15,000 ล้านดอลลาร์ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% และซื้อ FX มากกว่า 2% ของจีดีพี


