“วิทัย” ขับเคลื่อน ธปท. ด้วยความอิสระ รักษาเสถียรภาพ ใกล้ชิดประชาชน
“วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าฯ ธปท. ประกาศขับเคลื่อนธนาคารกลางยุคใหม่ สานต่อพันธกิจเสถียรภาพ ดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระ ควบคู่สร้างรากฐานระบบการเงินดิจิทัลและยั่งยืน ใกล้ชิดประชาชน
KEY
POINTS
- นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าฯ ธปท. จะดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระ โดยยึดพันธกิจหลักในการรักษาเสถียรภาพ 3 ด้าน คือ การเงิน, สถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน
- ปรับการทำงานให้ใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังความคิดเห็น และออกนโยบายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น การแก้หนี้ และการเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ
- สานต่อนโยบายพัฒนาภาคการเงินเพื่อรองรับกระแสโลกใหม่ ทั้งด้านดิจิทัลและความยั่งยืน เช่น การจัดตั้ง Virtual Bank และพัฒนาระบบชำระเงินดิจิทัล
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พูดคุยกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับแนวทางการทำงานของ ธปท. และทิศทางนโยบายสำคัญในระยะต่อไป
การพูดคุยดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ นายวิทัย เข้ารับตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา
นายวิทัย อธิบายถึงแนวทางการทำงานของ ธปท.ที่ยึดการสานต่อพันธกิจหลักของ “ธนาคารกลาง” ด้วยการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาว โดยมี 3 เสาหลักสำคัญ
- เสถียรภาพทางการเงิน
โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (low and stable) รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
- เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน
เน้นให้ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง มั่นคง ให้บริการประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง โดยไม่เกิด “จุดเปราะบาง” ที่อาจกลายเป็นวิกฤตซ้ำในอนาคต
- เสถียรภาพระบบการชำระเงิน
เพื่อให้ระบบชำระเงินของประเทศมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย สะดวก และมีต้นทุนที่เหมาะสม รองรับทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ
ขณะเดียวกัน ธปท. จะดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมาย และต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบาย รวมทั้งแนวทาง Policy Coordination หรือ “การประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง” เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้อย่างต่อเนื่อง เอื้อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จับต้องได้ ช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศ
พร้อมเปิดทิศทางนโยบายสำคัญของ ธปท. (policy priorities) ในระยะต่อไป แบ่ออกเป็น 2 เรื่องหลัก
1. การสานต่อแนวนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ภาคการเงินพร้อมรองรับกับกระแสโลกใหม่ทั้งด้านดิจิทัลและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (financial landscape) ตั้งแต่โครงการ Your Data การพัฒนา ระบบ Digital Payment ที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น ไปจนถึง การจัดตั้ง Virtual Bank ที่จะขยายโอกาสทางการเงินสู่คนทุกกลุ่ม
2. การทำงานของ ธปท. จะใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังมุมมองหรือข้อเรียกร้องจากสังคมให้รอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินนโยบาย และสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น ตลอดจนจะมีแนวนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น
การแก้หนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง การเพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ผ่านกลไกค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นขึ้น รวมทั้งกลไกกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing: RBP) ตลอดจนการทบทวนค่าธรรมเนียมของบริการทางการเงินให้เหมาะสมและเป็นธรรมขึ้น (fair pricing)
“ธปท. มุ่งหวังว่าการดำเนินงานตามพันธกิจควบคู่กับการออกนโยบายและมาตรการของ ธปท. จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างสมดุลเข้าสู่ศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด”
ไร้แนวคิดตั้งกองทุนเพื่อความมั่นคั่ง
ส่วนแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง เขาระบุว่า ไม่มีแนวคิดที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ และมองว่าในปัจจุบัน ธปท.นำเงินจากกองทุนสำรองระหว่างประเทศไปบริหารจัดการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ด้วยการจัดสัดส่วนการลงทุนไว้ได้เป็นอย่างดี และมีผลตอบแทนที่ดีมากอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่มีการเสนอว่าตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าหรือช่วยทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง
นายวิทัย ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.5% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งการแข็งค่าในปัจจุบันไม่มากเท่ากับในช่วงก่อน โดยค่าเงินของหลายประเทศในอาเซียนแข็งค่ามากกว่าค่าเงินบาทของไทยแล้ว ซึ่งการปรับขึ้นลงของค่าเงินบาทมาจากทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ และ Flow


