ดราม่าทองคำทำบาทแข็ง! "ดร.พิพัฒน์" แฉต้นเหตุไม่ใช่ทอง "เงินสีเทา-คริปโต"ตัวจริง
ทองคำไม่ใช่ตัวการค่าเงินบาทแข็ง! "ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย" ชี้ 4 สมมติฐานใหม่ "เงินสีเทา-คริปโต"จุดชนวน พร้อมเปิด 5 ทางออกนโยบายที่ควรทำ อุดช่องโหว่กฎกำกับก่อนเสี่ยงกลายเป็นสวรรค์ฟอกเงินแห่งภูมิภาค
KEY
POINTS
- ทองคำไม่ใช่ตัวการค่าเงินบาทแข็ง!
- "ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย" ชี้ 4 สมมติฐานใหม่ "เงินสีเทา-คริปโต"จุดชนวน
- พร้อมเปิด 5 ทางออกนโยบายที่ควรทำ อุดช่องโหว่กฎกำกับก่อนเสี่ยงกลายเป็นสวรรค์ฟอกเงินแห่งภูมิภาค
ค่าเงินบาทที่แข็งเกินจริงกำลังเป็นปริศนาที่เขย่าตลาดการเงินไทย หลายฝ่ายชี้นิ้วไปที่ "การส่งออกทองคำ" ว่าเป็นต้นเหตุ
สวนทางมุมคิดของ "ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กลับตั้งข้อสังเกตได้น่าสนใจและพลิกเกม "ทองคำ" ได้ครบทุกมิติ
โดย "ดร.พิพัฒน์" โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวระบุว่า เป็นไปได้ไหมที่การส่งออก “ทองคำ” เป็นแค่อาการ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ?
(ออกตัวว่านี่เป็นข้อสังเกต ยังไม่มีข้อมูลยืนยันตรง ๆ แต่ชวนให้คิดกันครับ เผื่อว่าจะมีคนช่วยไปสืบเพิ่มเติมครับ)
ช่วงที่ผ่านมา คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่า เงินบาทแข็งเพราะการส่งออกทอง โดยเฉพาะการส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน จนจะตามไปเก็บภาษีทองคำ
แต่ถ้าเราดูตัวเลขจริงๆ จะเห็นว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าทองสุทธิ คือเรานำเข้าทองมากกว่าที่เราส่งออกเสียอีก ตัวอย่างเช่น การส่งออกทองไปบางประเทศอาจมีมูลค่าไตรมาสละประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับการนำเข้าทองที่มีมูลค่าสูงกว่าอย่างมากแล้ว แทบจะไม่มีโอกาสทำให้เงินบาทแข็งได้มากขนาดนี้
🟡 สมมติฐาน: “ทอง” เป็นอาการปลายทาง
สมมุตินะครับสมมุติว่ามีธุรกรรมแบบนี้เกิดขึ้น ลองคิดดูว่าเป็นไปได้ไหม
- มีเงินไหลเข้ามาไทยจากต่างประเทศ ผ่านช่องทางที่ตรวจสอบยาก เช่น ตลาดคริปโต เข้ามาในบัญชีของ residence
- เงินนี้ถูกแปลงเป็น เงินบาท → เพิ่ม demand ต่อบาท ทำบาทแข็ง แต่ธุรกรรมนี้อาจจะไม่ได้ถูกบันทึกใน BoP เพราะดูไม่ออกว่าเป็น cross border transaction
- มีการใช้เงินบาทไปซื้อทองคำ
- ทองถูกส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน → เราจึงเห็นการส่งออกทองพุ่ง
สิ่งที่เห็นในสถิติ = การส่งออกทอง แต่แรงกดดันบาทแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นแรก แล้ว
🔍 ทำไมเรื่องนี้น่าสงสัย
- ประเทศเพื่อนบ้านของเรา (และอาจจะเราด้วย) ได้กลายเป็น hub ธุรกิจสีเทา
- แม้แต่สหรัฐยังรายงานว่าในปีเดียว (2024) มีประชาชนถูกหลอกลวงผ่าน scams มากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (เฉพาะในสหรัฐประเทศเดียว) โดยมิจฉาชีพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่รู้ประเทศอื่นจะโดนอีกเท่าไร https://th.usembassy.gov/imposing-sanctions-on-online.../
- และที่น่าสังเกตคือใน Balance of Payments (BOP) ของไทย มีรายการ Errors & Omissions หรือธุรกรรมที่ “ไม่สามารถอธิบายได้” ที่ขยายตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ - นี่อาจเป็นสัญญาณว่ามีเงินเข้า-ออกจำนวนมากที่เรายังไม่แน่ใจว่าคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจ เราอาจจะไม่รู้ว่าเราควรทำอะไรกับมันหรือไม่
- ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกรรมที่ผ่านตลาดอย่างคริปโตอาจไม่ได้ถูกบันทึกใน BOP เลยด้วยซ้ำ
📌 ปัญหาสำคัญ: กลไกการกำกับที่ไม่เท่าเทียมกัน
- ภาคธนาคารมีกฎ KYC, AML, Travel Rule ชัดเจน → เงินเข้า – ออกต้องรายงาน มี residency code
- แต่ในตลาดคริปโต ยังไม่มีเครื่องมือเทียบเท่า หลายครั้งการซื้อขายใน exchange ไทยถูก “netting” ทำให้ไม่รู้ว่าเงินมาจากคนไทยหรือชาวต่างชาติ
- นี่คือ ช่องโหว่ ที่ทำให้เงินบาทแข็งจาก inflows ที่ตรวจสอบไม่ได้ และอาจถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
🚨 ความเสี่ยงหากแก้ปลายเหตุ
ถ้าเราโฟกัสแต่ “การส่งออกทอง” โดยไม่แก้ที่ต้นตอ อาจซ้ำรอยเดิม:
• ธุรกิจสุจริต ต้องรับภาระ ถูกตรวจสอบหนัก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับฟอกเงิน
• ต้นเหตุจริง (crypto/illicit inflows) กลับไม่ถูกแตะ ปัญหายิ่งย้ายไปช่องทางอื่น
• ผลลัพธ์คือ รักษาอาการ แต่ไม่รักษาแผล
✅ สิ่งที่นโยบายควรทำ
- ปิดช่องฟอกเงินที่ต้นทาง — ทำให้ crypto exchanges ในไทยมีกฎ AML/CFT เทียบเท่าธนาคาร
- เชื่อมข้อมูล Exchange – Banking – Customs – ปปง. – BoT เพื่อเห็นทั้งเส้นทางเงิน
- ลงทุนใน blockchain analytics เพื่อตามรอย inflows ที่ไม่ถูกจับในสถิติ BOP
- ปรับสู่มาตรฐานสากล — ให้ระบบกำกับ AML/CFT ของเรามีระดับเดียวกับประเทศชั้นนำ ไม่อย่างนั้น ไทยอาจถูกมองเป็นช่องโหว่ระดับภูมิภาค สำหรับการฟอกเงิน
- ทำมาตรฐานการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินในธุรกรรมการส่งออกทองคำและการทำ export due diligence และเน้นเรื่อง source of funds transparency
💡คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า... ทำไมส่งออกทองเยอะ ? แต่คือ…ทองคือปลายทางของเงินจากไหน ?
เงินบาทแข็งเพราะทองจริงๆ หรือเพราะกระแสเงินที่เรายังไม่สามารถจับได้ ?
เผื่อจะได้ช่วยกันทำความเข้าใจและตรวจสอบ เผื่อไม่ใช่จะได้รู้ว่าไม่ใช่.


