posttoday

เส้นทางผู้ว่าฯ ธปท. 5 ปี “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ดำเนินนโยบายบนความท้าทาย

16 กันยายน 2568

ย้อนเส้นทาง 5 ปี “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าฯ ธปท. คนที่ 21 ผ่านการดำเนินนโยบายภายใต้ความท้าทาย ทั้งวิกฤตโรคระบาด สงครามที่ส่งผลเป็นวงกว้าง และปัญหาเชิงโครงสร้าง

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 21 ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งวันที่ 1 ต.ค.2563 และกำลังจะหมดวาระในวันที่ 30 ก.ย.2568 เป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนส่งต่อให้กับ นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. คนที่ 22 ที่จะเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค.2568

ดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยในงาน “ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน (Meet the Press)” เป็นครั้งที่ 2/68 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะผู้ว่าการ ธปท. ว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2568) เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง หลายเรื่องไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคระบาด สงครามที่ส่งผลเป็นวงกว้าง ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกมานาน 

ในฐานะองค์กรที่ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ธปท. จำเป็นต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบและยืดหยุ่น ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังต้องวางรากฐานให้เศรษฐกิจแข็งแรงพอที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจหลัก 3 ด้าน คือ การรักษาเสถียรภาพโดยรวม (macro-financial stability) การวางรากฐานภาคการเงินสำหรับอนาคต (Financial Landscape) และการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (Consumer protection) 

หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบาย คือ การผสมผสานใช้เครื่องมือที่หลากหลาย หรือ “Integrated Policy Mix” เพราะ ธปท. ตระหนักดีว่า เครื่องมือหลักอย่าง “ดอกเบี้ย” นั้นจะส่งผลกระทบในวงกว้าง (Blunt Tool) อาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์ ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจึงต้องอาศัยเครื่องมืออื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงินระยะสั้นที่ตรงจุด หรือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในระยะยาว

เส้นทางผู้ว่าฯ ธปท. 5 ปี “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ดำเนินนโยบายบนความท้าทาย

ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังพบกับความท้าทายเพิ่มเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (US Tariffs) ซึ่งเป็น “พายุลูกใหญ่” ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการค้าและการลงทุนทั่วโลก รวมทั้งกดดันภาคการผลิตและการส่งออกของไทยให้ต้องเร่งปรับตัว ภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าศักยภาพและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง 

ธปท. จึงปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่ทางนโยบาย (policy space) ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต

เป้าหมายหลักของการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 4 ครั้ง (ตั้งแต่ปลายปี 2567-ส.ค.2568) สู่ระดับ 1.5% ในปัจจุบัน ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เป็นการผ่อนคลายภาวะการเงิน และบรรเทาภาระให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่เปราะบาง เพื่อเอื้อต่อการปรับตัวรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้ 

นอกจากการผ่อนคลายภาวะการเงินแล้ว ธปท. ยังได้ออกมาตรการภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบางที่มีศักยภาพให้สามารถรักษาทรัพย์สิน และลดภาระหนี้เพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายไหว (ตัวเบาขึ้น) และไปต่อได้

โดย ณ วันที่ 15 ก.ย.2568 ลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อยู่ที่ 1.8 ล้านราย เข้าเกณฑ์ 8.2 แสนราย ยอดหนี้ 5.8 แสนล้านบาท (31 ส.ค.2568)

ขณะเดียวกัน ภารกิจด้านการวางรากฐานภาคการเงินที่ได้ริเริ่มไว้ก็มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมหลายอย่าง เช่น การประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) การเปิดบริการขอข้อมูลการใช้-ชำระค่าน้ำ-ไฟ เพื่อนำไปขอสินเชื่อภายใต้โครงการ Your Data และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Financing the Transition) ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 9.6 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท

เส้นทางผู้ว่าฯ ธปท. 5 ปี “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ดำเนินนโยบายบนความท้าทาย

ทั้งนี้ นอกจากการผลักดันด้านนวัตกรรมแล้ว หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ภาพ “การเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและทั่วถึง (Safe and Inclusive Digital Finance)” คือ การสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการที่มีต่อระบบการเงิน ระบบการชำระเงิน และการใช้บริการทางการเงินต่างๆ รวมถึงการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน 

ธปท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเพื่อจัดการภัยทุจริตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยปรับนโยบายให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละช่วง เช่น การกำหนดมาตรฐาน Mobile Banking Security เช่น ห้ามส่ง SMS แนบ link /สแกนหน้าก่อนโอน การจัดการบัญชีม้าที่เข้มข้นขึ้น และการกำหนดแนวทางการร่วมรับผิดชอบ (Shared Responsibility)

ปี 2563-2564: รับมือวิกฤตฉุกเฉิน (COVID-19)

ย้อนกลับไปปีแรกที่เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. คือ ในปี 2563 กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างฉับพลันจากมาตรการ lockdown ในช่วงการระบาดของ COVID-19 GDP หดตัวมากที่สุดในรอบ 22 ปี ที่ 6.1% การท่องเที่ยวที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจแทบจะเป็นอัมพาต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยมี 40 ล้านคนต่อปี ลดลงเหลือเกือบศูนย์ ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น เพราะกิจการไม่สามารถเปิดทำการได้ตามปกติ

ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ เป้าหมายของ ธปท. คือ ดำเนินมาตรการให้ทันท่วงทีและต้องยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยน เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดลงมาก รวมทั้งดูแลให้ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงินยังทำงานได้ปกติและสามารถส่งผ่านความช่วยเหลือไปถึงผู้ได้รับผลกระทบได้ 

โดยในช่วงดังกล่าว กนง. ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและต่อเนื่องจนสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ควบคู่กับการออกมาตรการทางการเงิน ทั้งแก้หนี้เดิมและเติมเงินใหม่ 

นอกจากนี้ ปรับมาตรการพักชำระหนี้แบบ ”ปูพรม” ให้กับลูกหนี้ธุรกิจและครัวเรือนในวงกว้างเป็นเวลา 3-6 เดือน ตามประเภทสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ธปท. ตระหนักว่ามาตรการแบบปูพรมนั้นมีต้นทุนสูงและอาจสร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในระยะยาว จึงได้ปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยปรับมาตรการพักชำระหนี้วงกว้างให้เป็นการพักหนี้แบบสมัครใจ (opt-in) ไปจนถึงการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงหลัง เพื่อลดผลข้างเคียง

รวมไปถึงเน้นให้กลไกสินเชื่อยังทำงาน ได้ปรับจากสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ในระยะแรก เป็น “สินเชื่อฟื้นฟู” ที่มีเงื่อนไขยืดหยุ่นขึ้น ทำให้สินเชื่อในช่วงนั้นยังขยายตัวได้ และ “โครงการพักทรัพย์ พักหนี้” ที่เน้นช่วยให้ธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบสูงยังสามารถรักษาทรัพย์สินไว้และไปต่อได้

ผลลัพธที่ได้ ทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อได้ (GDP ขยายตัว 1.6% ในปี 2564) ระบบการเงินโดยรวมยังทำงานได้ไม่สะดุด และกลไกสินเชื่อสามารถเป็นที่พึ่งให้กับเศรษฐกิจต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด สินเชื่อยังขยายตัว 6.5% ในปี 2564 โดยโครงการสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ถูกใช้เกือบเต็มวงเงินที่ 3.5 แสนล้านบาท ช่วยธุรกิจได้กว่า 6.7 หมื่นราย

เส้นทางผู้ว่าฯ ธปท. 5 ปี “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ดำเนินนโยบายบนความท้าทาย

ปี 2565: ประคองการฟื้นตัวท่ามกลางเงินเฟ้อ 

ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวในลักษณะที่ไม่ทั่วถึง (K-shaped Recovery) ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายระลอกใหม่จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ประเทศเศรษฐกิจหลักหลายประเทศเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อัตราเงินเฟ้อไทยพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ 7.9% (เดือน ส.ค.2565) 

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างโจทย์ที่ยากลำบาก คือ การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อ กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง ไม่สะดุด (smooth take-off) 

โดยในช่วงเวลานั้น ธปท.เลือกดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป (gradual and measured) ไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงเหมือนธนาคารกลางขนาดใหญ่หลายแห่ง เนื่องจากเห็นว่าเงินเฟ้อของไทยมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านอุปทาน (cost-push inflation) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว อีกทั้งเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ได้ขยายตัวร้อนแรงเหมือนประเทศอื่น การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากไป (เหยียบเบรก) จึงอาจกระทบการฟื้นตัวโดยไม่จำเป็น 

ขณะเดียวกัน ธปท. ได้ทยอยถอนมาตรการ “ปูพรม” บางส่วน เพื่อปรับให้นโยบายสู่ภาวะปกติและลดผลข้างเคียงต่อระบบการเงิน เช่น ปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund: FIDF) ของสถาบันการเงินกลับมาเป็นปกติที่ 0.46% จากที่ปรับลดเหลือ 0.23% ในช่วงโควิด ขณะที่อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต ธปท. ยังขอให้คงการลดอัตราฯ ไว้ที่ 5% จนถึงปี 2566 ก่อนที่จะให้ทยอยปรับอัตราฯ ขึ้นเป็น 8% ต่อไป 

มองย้อนกลับไป การเลือกปรับดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้ความสำคัญกับบริบทการฟื้นตัวของไทยมากกว่าสถานการณ์ในต่างประเทศ ถือเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม 

ผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้เงินเฟ้อทยอยปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ภายใน 7 เดือน โดยไม่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องสะดุดลง (GDP ขยายตัว 2.6% ในปี 2565)

ปี 2566-2567: วางรากฐานทางการเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

เมื่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อคลี่คลายลง เศรษฐกิจโลกกลับเผชิญความผันผวนระลอกใหม่ ทั้งจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในประเทศเศรษฐกิจหลักและการชะลอลงของเศรษฐกิจจีน ส่วนเศรษฐกิจไทยแม้จะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่กลับเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยภาคการผลิตและอุตสาหกรรมชะลอลง ซึ่งไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงวัฏจักรภายนอกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่สะสมมานาน ทั้งศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงราว 90% ต่อ GDP

การดำเนินนโยบายในช่วงนี้ จึงมุ่งเน้นการปรับเข้าสู่ระดับที่ช่วยรักษาสมดุลของเศรษฐกิจในระยะปานกลางควบคู่ไปกับการวางรากฐานสำหรับอนาคต ภายใต้หลักคิดของการทำ “นโยบายที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน” (robust policy) ที่ต้องยืดหยุ่น สามารถรองรับพลวัตของเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และใช้เครื่องมือแบบผสมผสาน (policy mix) ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด 

โดยในช่วงนี้ กนง. ได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.5% ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อการเติบโตตามศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน (neutral rate)

เส้นทางผู้ว่าฯ ธปท. 5 ปี “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ดำเนินนโยบายบนความท้าทาย

ขณะเดียวกัน ธปท. ยังให้ความสำคัญกับนโยบายระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการพัฒนาภาคการเงินให้สามารถสนับสนุนการปรับตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยมีนโยบายสำคัญ ดังนี้

1.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน: ธปท. ได้ยกระดับการแก้ปัญหาหนี้ให้เป็นระบบและครบวงจรมากขึ้น โดยออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ที่เน้นให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ทั้งก่อน/หลังเป็น NPL และมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง (persistent debt) ควบคู่กับการปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลที่เป็นรูปธรรม เช่น ปรับวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ให้เป็นธรรมขึ้น โดยให้คิดเฉพาะเงินต้นของงวดที่ผิดนัด จากเดิมที่คิดจากฐานเงินต้นคงค้างทั้งหมด 

อย่างไรก็ตาม มาตรการแก้หนี้เรื้อรังกลับมีผู้เข้าร่วมน้อยกว่าที่คาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเงื่อนไขที่ห้ามก่อหนี้ใหม่นั้นไม่สอดคล้องกับความจำเป็นของลูกหนี้ และเป็นบทเรียนสำคัญในการออกแบบนโยบายแก้หนี้ในระยะต่อไป

ผลลัพธ์ที่ได้ ลูกหนี้ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้ Responsible Lending กว่า 2.5 ล้านบัญชี 1.5 ล้านล้านบาท (มิ.ย.2568)

2.การผลักดันภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่ (New Financial Landscape): ธปท. ได้ริเริ่มวางทิศทางปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2565 และทยอยขับเคลื่อนแผนงานภายใต้ทิศทางดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ซึ่งหลายเรื่องต้องใช้เวลาและอาจไม่เห็นผลเร็ว ได้แก่ 

ด้านดิจิทัล (digital): ส่งเสริมนวัตกรรมที่รับผิดชอบ (responsible innovation) ภายใต้แนวคิด “3 Opens”: 

  • Open Competition - อนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เพื่อเพิ่มการแข่งขันและช่วยนำเสนอบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้บริการทางการเงินแต่ละกลุ่ม
  • Open Infrastructure - เชื่อมโยงระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ รวมทั้งผลักดันกลไกค้ำประกันเครดิตให้ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพขึ้น
  • Open Data เริ่มโครงการ Your Data ที่ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตนเองได้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์

ด้านความยั่งยืน (sustainability): สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (brown เป็น less brown) โดยสร้างผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด (low-disruptive transition) ซึ่งต้องสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการปรับตัวและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น 

โดย ธปท. ได้ทยอยวางกลไกพื้นฐานที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดทำมาตรฐานกลางเพื่อจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (taxonomy) และผลักดันโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Financing the Transition) ให้เกิดขึ้นจริง มีผู้ได้รับประโยชน์ชัดเจน และนำไปขยายผลในวงกว้างได้

การเดินทางตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สอนเราว่าการดูแลเศรษฐกิจของประเทศไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ทุกการตัดสินใจล้วนมาจากการชั่งน้ำหนักปัจจัยรอบด้านภายใต้ข้อมูลที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น และต้องพร้อมเรียนรู้และปรับเปลี่ยนเสมอ ภารกิจของธนาคารกลางไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการทำงานหนักในวันนี้ เพื่อสร้างเสถียรภาพและรากฐานที่แข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยสำหรับวันข้างหน้า

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท