ทองคำไทยเดือด! "พวรรณ์-ฐิภา" ชี้ดีมานด์พุ่งแรงสุดโลก ปีนี้ราคาทองไม่หยุดแค่ 56,000 บาท

ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน "ทองคำ" ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ สำหรับประเทศไทย ตลาดทองคำกลับสร้างความเซอร์ไพรส์ด้วยการเติบโตต่อเนื่อง แม้ผ่านวิกฤติโควิด-19 มาหลายปี

"โพสต์ทูเดย์" ได้พูดคุยกับ "คุณพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ควงคู่ลูกสาว "ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ผู้เชี่ยวชาญตลาดทองคำแนวหน้าของไทย เจาะลึกทิศทางปี 2568 และการปรับตัวของอุตสาหกรรมทองคำไทย

ความต้องการทองคำไทยโตแรงสุดในโลก!

คุณพวรรณ์ เล่าว่า ในปี 2567 ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทย ซึ่งไม่รวมธนาคารกลางสูงถึง 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า ถือเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ไทยขึ้นแท่นประเทศที่ซื้อทองคำสูงสุดอันดับ 10 ของโลก และอันดับ 4 ของเอเชีย

สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2564 ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน

ทิศทางปี 2568 ในช่วงครึ่งปีแรก ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคอยู่ที่ 20.7 ตัน โตขึ้นถึง 21% จากปีก่อนหน้า YLG มองว่าทั้งปี 2568 จะโตไม่ต่ำกว่าปี 2567 อย่างแน่นอน โดยเฉพาะทองคำเพื่อการลงทุน

ราคาทองลุ้น 56,000 บาท

แม้ราคาทองคำโลกจะทำสถิติสูงสุดใหม่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ไปแล้ว แต่คุณพวรรณ์ยังเชื่อว่ามีโอกาสขยับแตะ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐได้ ขณะที่ทองคำแท่งในประเทศมีโอกาสขึ้นไปแตะ 56,000 บาทต่อบาททองคำ ภายในสิ้นปี แม้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าในช่วงนี้

"ราคาทองคำมีแนวต้านสำคัญ 3,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ถ้าสามารถเบรกแนวต้านนี้ได้อย่างแข็งแกร่งมีลุ้นขึ้นมาทดสอบ 3,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และ 3,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยมีแนวต้านใหญ่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์"

มั่นใจทองคำไม่หยุดที่ $3,600

"ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดใจว่าในมุมมองส่วนตัวเชื่อว่าราคาทองคำยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หากดูตั้งแต่ต้นปี 2568 ราคาทองอยู่ที่ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ปัจจุบันอยู่ที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เพราะอย่าลืมว่ายังมีประเด็นทิศทางดอกเบี้ยที่หลายฝ่ายคาดว่ามีโอกาสลดลง 

บวกปัจจัยความไม่สงบที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ อีกทั้งมีข่าวว่าจีนมีความต้องการซื้อทองถึง 4,000 ตัน ซึ่งปัจจุบันถืออยู่ราว 2,300 ตัน ช่วยหนุนแรงซื้อราคาทองปรับขึ้นได้

แต่หากราคาทองปรับตัวลดลงมองว่าไม่น่าต่ำกว่าระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยมองว่าร่วงลงแย่สุดไม่น่าต่ำกว่า 3,580 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ดังนั้นสำหรับคนที่สนใจซื้อทองคำ แนะนำทยอยซื้อสะสมได้

พฤติกรรมนักลงทุนไทย 97% ลงทุนทองคำ

ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า คนไทยหันมาลงทุนทองคำสูงถึง 97% แบ่งเป็น

• 20% นักลงทุนหน้าใหม่ ไม่เคยซื้อทองคำมาก่อน
• 77% นักลงทุนที่คุ้นเคยกับการซื้อทองคำอยู่แล้ว
• 3% ที่ยังไม่ลงทุน โดยให้เหตุผลว่าขาดความรู้หรือไม่มั่นใจในผลิตภัณฑ์

น่าสังเกตว่า นักลงทุนทองคำเกือบครึ่งหนึ่งยังกังวลเรื่องสินค้าปลอม ความบริสุทธิ์ และความปลอดภัยในการเก็บรักษา ซึ่งสะท้อนความท้าทายของอุตสาหกรรมทองคำไทย

SRO ยกระดับมาตรฐานทองคำออนไลน์

เพื่อแก้ไขข้อกังวลดังกล่าว สมาคมผู้ค้าทองคำได้ริเริ่มจัดตั้ง องค์กรกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulatory Organization : SRO) สำหรับการค้าทองคำออนไลน์ไทยอย่างเป็นทางการ

SRO จะมีคณะอนุกรรมการ 7 คน วาระ 4 ปี (ดำรงตำแหน่งสูงสุด 2 วาระ) โดยคัดเลือกจากนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 200 ล้านบาท และมีใบอนุญาตค้าทองออนไลน์ถูกต้องตามเกณฑ์

คุณพวรรณ์ อธิบายว่า การมี SRO ถือเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมทองคำไทย ทำให้เกิดความโปร่งใส มาตรฐาน และความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นการรับรองราคา การปกป้องข้อมูลลูกค้า หรือการป้องกันการขายสินค้าปลอม

บทบาท SRO มาตรฐานใหม่เพื่ออนาคต

• เปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์และราคาอย่างชัดเจน
• สร้างช่องทางร้องเรียนและการประเมินสมาชิก
• ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
• ยกระดับความเข้าใจของสาธารณชนในการลงทุนทองคำออนไลน์

"เราต้องการสร้างระบบนิเวศการค้าทองคำที่โปร่งใส ยืดหยุ่น และเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความมั่นใจระยะยาวให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย"

ตลาดทองคำไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ความต้องการยังเติบโตต่อเนื่อง สวนกระแสโลก ขณะที่ SRO จะเข้ามามีบทบาทเป็น "กติกาใหม่" ที่ช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระยะยาว.