Krungsri Global Marketsมองเงินเยนแข็งขึ้นคาดปีหน้าฟื้นขึ้น10%
Krungsri Global Markets มองเงินเยนแข็งขึ้นจาก BOJ ยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบ คาดปีหน้าฟื้นตัวขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ หากเทียบเงินบาทอยู่ที่ 0.2330-0.2670 สำหรับปี 2567 หรือแพงขึ้นจาก 0.2380 ในปัจจุบัน
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า เงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวที่สำคัญจากการคาดหวังของตลาดที่ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ (บีโอเจ) จะยุติการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทของภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่น แม้ในช่วงที่ผ่านมาบีโอเจสื่อสารอย่างระมัดระวังและยังคงไม่มั่นใจมากนักเกี่ยวกับความต่อเนื่องของเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ เราเชื่อว่าธนาคารกลางหลายแห่งของโลก นำโดยสหรัฐฯ และยุโรปจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยราวกลางปี 2567 สภาวะแวดล้อมเช่นนี้จะช่วยลดแรงกดดันด้านขาลงต่อค่าเงินเยน ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2565 บีโอเจสวนกระแสโลกอย่างมีนัยสำคัญด้วยการตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ ติดลบ 0.1% รวมถึงยังคงใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง โดยชุดมาตรการดังกล่าวเหมาะสมกับการต่อสู้กับภาวะเงินฝืดที่ญี่ปุ่นเผชิญมาราว 20 ปี
แม้ BOJ จะปรับนโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) ให้การเคลื่อนไหวของดอกเบี้ยระยะยาวมีความยืดหยุ่นมากขึ้นก็ตาม แต่ยังคงเข้าแทรกแซงในตลาดพันธบัตรเป็นระยะ ขณะที่โลกประสบปัญหาเงินเฟ้อสูงในช่วงที่ผ่านมา พากันเร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว และบีโอเจไม่ปรับทิศนโยบาย ทำให้สินทรัพย์สกุลเงินเยนเสียเปรียบในแง่ส่วนต่างผลตอบแทนที่แท้จริงอย่างรุนแรง เห็นได้ว่าค่าเงินเยนร่วงลงถึง 30% เทียบกับเงินดอลลาร์ในเวลา 2 ปี
ดังนั้น เมื่อมองไปข้างหน้า การปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติมากขึ้นของญี่ปุ่นเองและดอกเบี้ยโลกที่ผ่านจุดสูงสุดในปี 2566 นี้ สนับสนุนการคาดการณ์ของเราที่ว่าเงินเยนอาจฟื้นตัวขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปี 2567 ทั้งนี้ กรณีที่เทียบกับเงินบาท เรามองว่าเงินเยนได้ผ่านระดับราคาต่ำสุดไปแล้ว และให้กรอบการเคลื่อนไหวผันผวนสูงไว้ที่ 0.2330-0.2670 สำหรับปี 2567 ในภาพรวมแพงขึ้นจาก 0.2380 ในปัจจุบัน
"ผู้ที่จำเป็นต้องใช้เงินเยนจึงสามารถพิจารณาหาจังหวะแลกได้" อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของมุมมองนี้คือ อัตราเงินเฟ้อโลกค้างสูงยาวนานกว่าคาด ขณะที่ BOJ เลือกซื้อเวลาด้วยการใช้นโยบายผ่อนคลายมากเป็นพิเศษต่อไป