posttoday

ธปท. กางผลงานไตรมาส 1 แบงก์ไทยปล่อยกู้โตแผ่ว แต่ NPL ลดลงอยู่ที่ 2.68%

22 พฤษภาคม 2566

ธปท. กางผลงานแบงก์ไทย ณ ไตรมาส 1 ของปี 2566 ธนาคารพาณิชย์มียอดปล่อยกู้เติบโตที่ 0.51% แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ขณะที่มี NPL ลดลงอยู่ที่ 2.68 % ส่วนกำไรสุทธิลดลง 4% จากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลสรุปภาพรวม ณ ไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน (BIS ratio) เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ที่ 19.4% 173.4% และ 193.7% ตามลำดับ โดยสามารถทำหน้าที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง 

ธปท. กางผลงานไตรมาส 1 แบงก์ไทยปล่อยกู้โตแผ่ว แต่ NPL ลดลงอยู่ที่ 2.68%

ด้านสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ขยายตัวที่ร้อยละ 0.51 แต่ชะลอลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการชำระคืนหนี้ของภาครัฐ ธุรกิจขนาดใหญ่ และ Soft loans รวมทั้งการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ โดยธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งระดมทุนผ่านตราสารหนี้ แม้สินเชื่อยังขยายตัวได้จากธุรกิจรายใหญ่ในภาคการเงินและพาณิชย์ รวมทั้งสินเชื่อรายย่อยพอร์ตที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นสำคัญ 

ด้านคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์มีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL หรือ stage 3) ณ ไตรมาส 1 ปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ 498.0 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 2.68 

ธปท. กางผลงานไตรมาส 1 แบงก์ไทยปล่อยกู้โตแผ่ว แต่ NPL ลดลงอยู่ที่ 2.68%

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 ปรับดีขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสุทธิกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินรับฝากและ FIDF Fee กลับสู่ระดับปกติ อีกทั้งมีกำไร FVTPL จากตราสารอนุพันธ์เป็นสำคัญ แม้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองจะเพิ่มขึ้น

แต่หากเทียบไตรมาสก่อน หรือ Q 4 ปี 2665 มีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 4.0 จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงไตรมาสก่อนมีรายได้พิเศษจากการขายและโอนพอร์ตสินเชื่อรายย่อย แม้ค่าใช้จ่ายสำรองและค่าใช้จ่ายดำเนินงานจะปรับลดลง 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง และการฟื้นตัวของธุรกิจบางกลุ่ม โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ทรงตัวจากไตรมาสก่อขณะที่ภาคธุรกิจ สัดส่วนหนี้สินภาคธุรกิจต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ แม้ความสามารถในการทำกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ลดลง แต่ฐานะการเงินโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งยังต้องติดตามผลกระทบจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอลง และบางธุรกิจที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถ ในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือรวม 3.37 ล้านล้านบาท และจำนวนบัญชีที่ได้รับความช่วยเหลือ 5.26 ล้านบัญชี