posttoday

ครม. จับตา 6 'ความเสี่ยงการคลัง' ของไทย ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้

29 มีนาคม 2566

ครม.จับตา 6 ความเสี่ยงการคลังของไทยที่อาจเกิดขึ้นในปี 2566 หวั่นการใช้เงินนอกงบประมาณ ภาระกองทุนประกันสังคม เงินสมทบของกอช. พร้อมห่วงหนี้ภาคเกษตรของธกส.พุ่ง จากหนี้ด้อยคุณภาพและมาตรการพักหนี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 28 มี.ค. 2566 ที่รับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2565 และแนวโน้มปี 2566 เพื่อให้ ครม.รับทราบความเสี่ยงทางการคลังของประเทศ

สำหรับแนวโน้มของความเสี่ยงทางการคลังในปี 2566 ด้านรายได้ในปีงบประมาณ 2566 มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน

ส่วนในปี 2565 ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 2,531,656 ล้านบาท ขยายตัว 6.57% จากปีก่อน

มาจากกลุ่มรายได้ที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจสูง กลุ่มรายได้ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและกลุ่มรายได้จากการค้าระหว่างประเทศขยายตัวจากปีก่อน อย่างไรก็ดี การจัดเก็บรายได้ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด -19

ส่วนฐานะทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ในภาพรวม อยู่ในระดับแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานสากล และคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ 2565 ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้และบริหารจัดการคุณภาพหนี้

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้รายงาน ครม.ว่า ในด้านของรายจ่าย และด้านการคลังของภาครัฐ ที่มีแนวโน้มความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นในปี 2566 คือประเด็นความเสี่ยงทางการคลังจากการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ 6 ข้อ ได้แก่

1. เงินกองทุนประกันสังคม ปรับลดลงจากปีก่อน จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ลดลง และการลดอัตราการจ่ายเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 รวมทั้ง การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุส่งผลให้จำนวนผู้ประกันตนวัยแรงงานเข้าสู่ระบบลดลงด้วย

2. การปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบของรัฐบาลเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการเริ่มจ่ายเงินบำนาญชราภาพให้กับสมาชิกในปี 2566 อาจทำให้รัฐบาลมีความเสี่ยงในการจัดสรรงบประมาณ เพื่อชดเชยส่วนต่างผลตอบแทน หาก กอช. ไม่สามารถบรรลุอัตราผลตอบแทนตามที่รับประกันไว้

3. ส่วนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิติดลบจำนวนมาก จากราคาพลังงานโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กองทุนต้องจ่ายเงินอุดหนุนชดเชยราคาก๊าซ LPG และราคาขายปลีกดีเซล เพื่อพยุงราคาในประเทศไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งในช่วงต้นปี 2566 สถานการณ์ราคาพลังงานเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะคลี่คลายลง และกองทุนจะสามารถชำระหนี้คืนได้ โดยไม่เป็นภาระงบประมาณของรัฐบาลในอนาคต

4. ฐานะการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial :SFIs) ภาพรวมยังคงอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ แต่ควรติดตามระดับหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จากการด้อยคุณภาพลงของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 และมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรที่สิ้นสุดลงในปี 2565

5. เงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมลดลง โดยสาเหตุสำคัญมาจากรัฐวิสาหกิจกลุ่มไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าผัน แปรอัตโนมัติ (Ft) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการและประชาชน

6. ภาคประกันภัยอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 โดยยอดเงินขอรับชำระหนี้อยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับจำนวนเงินกองทุนประกันวินาศภัย อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินของกองทุนประกันวินาศภัยเป็นไปในลักษณะของการทยอยจ่าย จึงทำให้กองทุนยังสามารถบริหารจัดการยอดขอรับชำระหนี้ดังกล่าวได้ และเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในวงจำกัด

นายอนุชา กล่าวต่อว่าในส่วนของความเสี่ยงด้านรายจ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาลคือ จากรายจ่ายรวมในปี 2565 เป็นรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนเพิ่มขึ้นเป็น 66.72%

สาเหตุสำคัญมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ปรับตัวลดลง และการเพิ่มขึ้นของรายจ่าย เพื่อชำระหนี้และภาระผูกพันจากการดำเนินนโยบายในอดีต และรายจ่ายสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ ส่งผลรายจ่ายลงทุนลดลงอยู่ที่ 19.74% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ทั้งนี้ แนวโน้มความเสี่ยงด้านรายจ่ายในระยะปานกลางจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2565 จากวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับปกติ 

“รายงานความเสี่ยงทางการคลัง รัฐบาลสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการคลังในปีงบประมาณต่อไปได้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ใช้นโยบายการคลังและงบประมาณ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและ ภาคธุรกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

ขณะที่การก่อหนี้กว่า 70% ยังเป็นหนี้เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งบางประเทศยังนำแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลเป็นโมเดลในการพัฒนาประเทศด้วย” นายอนุชา กล่าว