posttoday

เงินบาทแข็งค่าต่อ ส่วนดอลลาร์ไร้แรงหนุน ด้าน SET แผ่วปลายโดนหุ้นแบงก์ฉุด

21 มกราคม 2566

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 10 เดือน รอติดตามผลการประชุมกนง. ปลายเดือนนี้ ขณะที่ดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุน ย้ำมุมมองเฟดชะลอขนาดการขึ้นดอกเบี้ยรอบแรกของปีนี้ SET Index ร่วงลงแรงช่วงปลายสัปดาห์ ตามแรงฉุดจากหุ้นกลุ่มแบงก์ ที่ผลงานต่ำกว่าตลาดคาดการณ์

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

 

เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 10 เดือนครั้งใหม่ที่ 32.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ  โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงแรกท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะชะลอขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอ)

 

อย่างไรก็ดีเงินบาทเผชิญแรงขายเป็นระยะในระหว่างสัปดาห์จากสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับสกุลเงินเอเชียบางส่วนอ่อนค่าลงตามเงินหยวน ซึ่งมีปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาอ่อนแอ สะท้อนผลกระทบจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน      

 

ภายหลัง เงินบาทกลับมาแข็งค่าและทดสอบแนว 32.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ ท่ามกลางทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ตลาดกลับมารอติดตามสัญญาณดอกเบี้ยของไทยจากผลการประชุมกนง. ในวันที่ 25 ม.ค. อย่างใกล้ชิด ในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.78 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระดับ 32.97 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (13 ม.ค.)

 

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 16-20 ม.ค. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,529 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 29,264 ล้านบาท (ขายสุทธิ 26,714 ล้านบาท รวมกับตราสารหนี้ที่หมดอายุ 2,550 ล้านบาท) 

 

สัปดาห์ถัดไป (23-27 ม.ค. 2566) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.50-33.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย

 

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจาก PCE/Core PCE Price Indices เดือนธ.ค. จีดีพีไตรมาส 4/65 (ครั้งที่ 1)  ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนม.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนม.ค. ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

 

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

 

ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้ หุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาสนับสนุนหลังตอบรับปัจจัยบวกไปพอสมควร โดยเฉพาะประเด็นที่เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมปลายเดือนนี้

 

อย่างไรก็ดี SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงสั้นๆระหว่างสัปดาห์ตามแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมมีแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเข้ามาช่วยหนุนภาพรวมตลาด แต่หุ้นไทยร่วงลงแรงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงฉุดหลักจากหุ้นกลุ่มแบงก์ หลังผลประกอบการงวดล่าสุดของแบงก์ใหญ่บางแห่งออกมาต่ำกว่าตลาดคาด 

 

ในวันศุกร์ (20 ม.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,677.25 จุด ลดลง 0.27% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 60,891.46 ล้านบาท ลดลง 22.46% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.86% มาปิดที่ระดับ 594.73 จุด

 

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (23-27 ม.ค. 2566) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,670 และ 1,650 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,700 และ 1,710 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (25 ม.ค.) ตัวเลขส่งออกเดือนธ.ค. ของไทย ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/65 ของบจ. ไทย รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ

 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนธ.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนม.ค. (เบื้องต้น) รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65  ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนม.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ