posttoday

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ฯ มองเศรษฐกิจไทยบวก 4.5% ย้ำการเมืองเสี่ยงต่ำคุมอยู่

08 ธันวาคม 2565

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ให้มุมมองถึงเศรษฐกิจไทยว่า สำหรับในปี 2565 ทั้งปีจะเติบโตถึง 3.3% และจะโตถึง 4.5% ในปี 2566 และ 2567 โดยปีหน้าจะเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจขยายตัว ด้วย 2 ปัจจัยคือท่องที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง

ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ให้มุมมองถึงเศรษฐกิจไทยว่า สำหรับในปี 2565 ทั้งปีจะเติบโตถึง 3.3% และจะโตถึง 4.5% ในปี 2566 และ 2567 

 

ทั้งนี้มองว่าในปีหน้า เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่วัฏจักรเศรษฐกิจขยายตัว ซึ่งจะค่อย ๆ ฟื้นตัวต่อเนื่องตลอดปีหน้า ด้วย 2 ปัจจัยสำคัญ หนึ่งคือการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญและมีสัดส่วน 15% ของจีดีพีประเทศ

 

สองคือ ปัจจัยที่คาดว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งในปี 2566 ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนภายในประเทศที่ทำให้ประเทศไทยเติบโตเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและทิศทางเศรษฐกิจโลกในปีหน้า  

 

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ด้วยปัจจัยภายในหลัก 2 ประการนี้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จึงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการเติบโตของไทยในปี 2566” 

 

นอกจากนี้ ดร.ทิมยังให้มุมมองอีกว่า เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว และอาจจะมีภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในบางประเทศ โดยทางธนาคารจะติดตามว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกอย่างไร แต่ด้วยๅการท่องเที่ยวของไทยส่งสัญญาณบวกของการฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ช่วงไฮซีซั่น (ฤดูท่องเที่ยว) ในปี 2566 จะแข็งแกร่งกว่าปี 2565 

 

โดยคาดว่า ในปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 15-20 ล้านคน และอาจได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากนักท่องเที่ยวจีนหากจีนผ่อนปรนมาตรการควบคุม นอกจากนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้า ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ประเทศไทยเคยทำได้ก็ตาม

 

ดร.ทิม กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารมองความเสี่ยงการเมืองอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยส่งเสริมภาพการฟื้นตัวในภาพการท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และนอกจากนี้ การฟื้นตัวน่าจะมีความต่อเนื่องหลังการเลือกตั้งเนื่องจากคาดว่าทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่น่าจะชัดเจนขึ้น

 

ทั้งนี้สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มองว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว และอาจจะมีภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในบางประเทศ โดยธนาคารจะติดตามว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกอย่างไร โดยการท่องเที่ยวของไทยส่งสัญญาณบวกของการฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ช่วงไฮซีซั่น (ฤดูท่องเที่ยว) ในปี 2566 จะแข็งแกร่งกว่าปี 2565

 

นอกจากนี้ธนาคารคาดว่า ในปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 15-20 ล้านคน และอาจได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากนักท่องเที่ยวจีนหากจีนผ่อนปรนมาตรการควบคุม นอกจากนี้ยังมีมุมมองบวกต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในปีหน้า ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ประเทศไทยเคยทำได้ก็ตาม


ดร.ทิม ยังให้มุมมองเพิ่มเติมอีกว่า ด้วยความเสี่ยงการเมืองอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยส่งเสริมภาพการฟื้นตัวในภาพการท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และนอกจากนี้ การฟื้นตัวน่าจะมีความต่อเนื่องหลังการเลือกตั้งเนื่องจากคาดว่าทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่น่าจะชัดเจนขึ้น

 

"แม้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน และถดถอยในบางประเทศ แต่ก็ยังมองบวกต่อเศรษฐกิจไทย มองว่าทั้งปี 2566 มีปัจจัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือมองว่าการเมืองไทยไม่ได้มีความเสี่ยงมาก เพราะอยู่ในการควบคุมได้แม้จะมีการชุมนุมเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังมีไทม์ไลน์การเลือกตั้งใหม่ที่ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่น่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย อีกฝั่งคือการท่องเที่ยวฟื้นจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ถึง 15-20 ล้านคนได้ โดยเฉพาะจะมีชาวจีนกลับมาเมืองไทยด้วย"

 

นอกจากนี้ ธนาคารยังคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมองว่า ภายในไตรมาสแรกของปี 2566 น่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่รอบปลายเดือนมีนาคมจะขึ้นอีก 0.25% อีกทั้งจะขึ้นอีกช่วงจบไตรมาสสองอีก 0.25% และภายในไตรมาส 3 ก็จะขึ้นอีก 0.25%  ดังนั้นปลายทางในปี 2566 จะไปอยู่ที่ 2% 

 

"เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะไม่แน่นอน เราคาดว่า กนง. จะประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในช่วงต้นปี โดยเราคาดว่าการดำเนินนโยบายการเงินของไทยเพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเรามองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยให้น้ำหนักการฟื้นตัวของเศรษฐกินมากกว่าเงินเฟ้อและเสถียรภาพทางการเงิน” 

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท และการเคลื่อนไหวของเงินทุน ดร.ทิม กล่าวเสริม

 

สำหรับมุมมองของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ต่อทิศทางค่าเงินบาทว่า ด้วยเศรษฐกิจโลกยังผันผวนและเฟดยังขึ้นดอกเบี้ยอยู่ มองว่าระยะสั้น ค่าเงินบาทน่าจะยังคงอ่อนตัวอยู่ที่ราว 36  บาท/เหรียญสหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 อย่างไรก็ตาม ด้วยรัฐบาลใหม่ที่จะชัดช่วงกลางปีและเศรษฐกิจไทยมีทิศทางดีขึ้น จะมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้าที่ 35 บาท/เหรียญสหรัฐ 

 

"การบริโภคของจีนกำลังจะกลับมา จากที่เมืองจีนคุมเรื่องโควิดอยู่ แล้วนำไปสู่อุปสงค์ที่สูงขึ้นจากตลาดจีน จึงน่าจะเป็นความเสี่ยงของเงินเฟ้อในปีหน้าได้ แม้จะเงินเฟ้อจะลงจากราคาน้ำมันปรับลงเรื่อย ๆ  หรือทิศทางเงินเฟ้ออาจเป็น W shape (ขึ้นลงสลับกัน)  ก็ได้ จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยน่าจะอยู่ที่ 2.7% ในปี 2566  และที่ 2.8% ในปี 2567"