หนี้ครัวเรือนสู่มาตรการสู้หนี้นอกระบบ...จะจบหรือไม่
ปัญหารากฐานทางเศรษฐกิจที่แก้กันมาทุกยุคทุกสมัยคือ หนี้นอกระบบ ประเมินกันว่าหนี้ที่อยู่ในระบบที่เรียกว่าหนี้ครัวเรือน ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยกู้กับสถาบันการเงินในประเทศไทย ทั้งธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ Non Bank บริษัท บัตรเคริต-สินเชื่อส่วนบุคคล บริษัทเช่าซื้อ กู้ไปเล่นหุ้น โรงรับจำนำ Nano Finance หรือที่กำลังจะมาคือ Pico Finance รวมแล้วประมาณ 11 ล้านล้านบาท เทียบกับ GDP ที่มีประมาณ 14 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกิน 80%
ปัญหารากฐานทางเศรษฐกิจที่แก้กันมาทุกยุคทุกสมัยคือ หนี้นอกระบบ ประเมินกันว่าหนี้ที่อยู่ในระบบที่เรียกว่าหนี้ครัวเรือน ที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยกู้กับสถาบันการเงินในประเทศไทย ทั้งธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ Non Bank บริษัท บัตรเคริต-สินเชื่อส่วนบุคคล บริษัทเช่าซื้อ กู้ไปเล่นหุ้น โรงรับจำนำ Nano Finance หรือที่กำลังจะมาคือ Pico Finance รวมแล้วประมาณ 11 ล้านล้านบาท เทียบกับ GDP ที่มีประมาณ 14 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกิน 80%
แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า หากรวมสัดส่วนหนี้นอกระบบเข้าไปด้วย หนี้ครัวเรือนจะมีสัดส่วนเกิน 100% ของ GDP การเพิ่มหนี้มาจาก (1) ต้องกู้มาซ่อมสร้างหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 (2) ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมานานเกิดแรงจูงใจว่ากู้ได้ เพราะต้นทุนต่ำ (3) โครงการของภาครัฐที่กระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะเร่งให้ซื้อรถยนต์ (4) สถาบันการเงินแข่งกันหารายได้จากการให้สินเชื่อรายย่อยเพราะผลตอบแทนมันสูง
แม้หนี้ครัวเรือนจะสูง วัฒนธรรมหรือรูปแบบการกินใช้ของผู้คนในปัจจุบันยังเป็นแบบรายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ต้องกู้มาก่อนเพื่อให้พอในแต่ละเดือน และหนี้ที่สูงก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร การบริโภคของประชาชนก็ยังไม่ฟื้นตัวดีพอจะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ มูลค่าหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ปี 2554 เวลานี้เมื่อหมดหนี้จากรถคันแรกก็มาเจอปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ธนาคารแห่งประเทศไทยและอีกหลายๆ หน่วยงานทางเศรษฐกิจต่างห่วงว่า หนี้ครัวเรือนที่สูงมาก (บวกหนี้นอกระบบอีกจำนวนหนึ่ง) จะทำให้คนมีเงินไม่พอใช้จ่าย ความหวังที่จะให้
การบริโภคในประเทศเติบโตทดแทนการส่งออกอาจไม่เกิดขึ้น
การต่อสู้กับหนี้นอกระบบรัฐบาลได้ริเริ่มมาตรการ โดยกระทรวงการคลังเปิดให้ลงทะเบียนคนจนรอบแรกเมื่อปีที่แล้ว และเตรียมจะเปิดให้ลงรอบใหม่เดือน เม.ย.นี้ เพื่อให้รู้จำนวนคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ (รอบแรก 8.3 ล้านราย แต่มีข้อสงสัยจำนวนหนึ่งที่ต้องพิสูจน์) พร้อมกับมีมาตรการเข้มข้นในการจัดการกับ “ขาใหญ่ที่ปล่อยกู้นอกระบบ” ออกกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ไม่เกิน 15% รวมทั้งจัดกลไกแหล่งเงินกู้ใหม่ให้กู้รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท ห้ามให้กู้ข้ามเขตจังหวัด เพื่อให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้าระบบเครื่องมือในการแก้ไข เราๆ ท่านๆ คงเห็นได้ไม่ช้า จะสำเร็จเสร็จสิ้นระดับไหน ไม่มีใครรู้ แต่เวลานี้เราได้เห็นความตั้งใจในความพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำให้คนไทยของรัฐบาลนี้ เพื่อช่วยแก้ความยากจน ทุจริต และความไม่ปรองดองบนคำว่า “สองมาตรฐาน” ไปในตัว


