โจ ฮอร์น มองจีน ไทยตัวเลือกอันดับ 1
คนในแวดวงการเงินรู้จัก “โจ ฮอร์น” หรือชื่อจริงๆ “โจ ฮอร์น พัธโนทัย”
คนในแวดวงการเงินรู้จัก “โจ ฮอร์น” หรือชื่อจริงๆ “โจ ฮอร์น พัธโนทัย”
โดย..ทีมข่าวการเงิน
ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนในจีนของเสี่ยปั้น บัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแบงก์กสิกรไทย
ด้วยความที่มีเครือข่ายและสายสัมพันธ์ในครอบครัวแนบแน่นกับอดีตผู้นำรัฐบาลจีน ทำให้ โจ ฮอร์น เข้าใจถึงกระบวนการและความเป็นไปของการเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
บ่ายแก่ๆ ของวันที่ 7 มิ.ย. โจ ฮอร์น เปิดห้องประชุม บริษัท Strategy 613 ย่านถนนวิทยุ บอกเล่าที่มาที่ไปของการทำงาน ความเป็นอยู่ 13 ปี ในประเทศจีน และทิศทางการลงทุนในแดนมังกร
“ผมเคยทำงานที่เมอร์ริลลินช์ ก่อนมาเป็นที่ปรึกษาคุณบัณฑูร ในช่วงหลังวิกฤตปี 2541-2542” โจ ฮอร์น บอก
การมีประสบการณ์ทำงานในบริษัทระดับโลก มาระยะหนึ่ง ทำให้โจ ฮอร์น มั่นใจและกล้าที่จะออกมาตั้งบริษัท Strategy 613 แต่ปรากฏว่าช่วงแรกๆ ต้องพบกับปัญหาไม่มีลูกค้า
ต่อมาได้พบกับซีอีโอแบงก์กสิกรไทยในงานที่เกี่ยวกับอาหารเจครั้งหนึ่ง ก่อนคุยกันด้วยความเข้าใจ หลังจากนั้น จึงมีเทียบเชิญจากบัณฑูรชักชวนให้เป็นที่ปรึกษา
จากนั้นธนาคารกสิกรไทย ก็บุกตะลุย เพิ่มสาขาและลงทุนในตลาดจีน
โจ ฮอร์น บอกว่า ในส่วนของธนาคารกสิกรไทย เราใช้สาขาในจีนเน้นปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีจีน เรียกว่าเราบุกในตลาดที่ยังไม่มีการแข่งขันที่หนาแน่นมาก ตอนนี้เริ่มมีแบงก์ใหญ่ของจีนเข้ามาแข่ง ต่างจากตอนที่เราเริ่มทำนั้นแบงก์จีนไม่ปล่อยลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากรายได้กลับคืนอาจไม่สูงนัก เรียกว่าตอนนั้นยังไม่เปิดเสรี แบงก์จีนจึงไม่ค่อยมีรายได้จากบริษัทเล็ก เมื่อรัฐบาลจีนให้สิทธิประโยชน์จูงใจมากขึ้น มีการเปลี่ยนระบบเพื่อลดต้นทุน ทำให้แบงก์จีนเริ่มเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้
ที่ปรึกษาบัณฑูร ระบุว่า การเข้าไปทำธุรกิจแบงก์ในจีนค่อนข้างยากมาก ตอนที่กสิกรไทยเข้าไปถือว่าเป็นรุ่นสุดท้าย โดยมีแบงก์พาณิชย์ไทย 3 แห่งที่มีฐานธุรกิจในจีน เพราะการเข้าไปตอนนี้เรียกว่ามีกำแพง (บาริเออร์) สูงมากแล้ว หรืออาจต้องสู้กับแบงก์ในจีน 100 แห่ง ซึ่งยากมาก
ในส่วนของเคแบงก์ ลูกค้าส่วนใหญ่เน้นที่เมืองเสิ่นเจิ้น ทำธุรกิจ อุตสาหกรรมการผลิต เช่น โคมไฟ ฯลฯ ซึ่งการปล่อยกู้ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะพ่อค้ารายย่อยจีนเก่งมาก มีการบริหารจัดการที่ดี
การลงทุนของธุรกิจไทยไปจีน ตอนนี้ก็ค่อนข้างมาก ตลาดที่ไปเจาะก็คือการท่องเที่ยว การบริโภคสินค้า ถือเป็นตลาดคนชั้นกลางที่ใหญ่มาก คนจีนมีเงินและท่องเที่ยวในจีน รวมถึงเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยและเพื่อนบ้านในเอเชีย
เชื่อว่าใน 5 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการไทย น่าจะได้เปรียบมาก อาจขยายการลงทุนในธุรกิจก่อสร้าง, เคมี, พลังงาน, ทรัพยากรธรรมชาติ ธุรกิจบางกลุ่มรัฐบาลควบคุมบ้าง เช่น โทรคมนาคมแบงก์ ดังนั้น ถ้าจะเข้าไปก็ต้องเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลก่อน
โดยการเตรียมความพร้อมต้องมีทีมงาน ไม่เพียงพูดภาษาจีนได้ แต่ต้องเข้าใจประเทศจีนด้วย มีประสบการณ์ทำงานกับคนจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงการเลือกพันธมิตรร่วมทุน ก็ต้องเลือกให้ดี นอกจากนั้น ต้องดูนโยบายของจีนอีก 3-5 ปีข้างหน้า ว่าจะเป็นอย่างไรด้วย
“บริษัทไทยที่ไปเมืองจีน ถือว่ามีความมั่นคง โดยรวมก็ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จมีกำไร” โจ ฮอร์น ระบุ
ในส่วนของนักธุรกิจจีนที่เข้ามาบุกเบิกตลาดไทยนั้น โจ ฮอร์น ระบุว่า นักธุรกิจจีนมาเมืองไทยก็รู้สึกว่ามาแล้วสบายใจ ต่างจากเมื่อก่อน ที่จีนจะมุ่งการลงทุนไปแค่ตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่น เป็นโมเดลหลัก แต่ตอนนี้จีนหันมามองที่ไทยเป็นอันดับแรก
“ตอนนี้ไทยถือเป็นตัวเลือกอันดับ 1 เป็นเมืองที่ใกล้ที่สุดที่มีโครงสร้างพื้นฐานครบ อย่างเวียดนามนั้นอาจมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่จีนไปเวียดนามแล้วไม่ค่อยสบายใจ” โจ ฮอร์น ระบุ
นอกจากนั้น การเข้ามาของธนาคารไอซีบีซี ยักษ์ใหญ่ของจีน ทำให้ธุรกิจจีนมาไทยได้คล่องตัวขึ้น เพราะจีนเป็นประเทศปิดมานาน ไม่มีประสบการณ์ไปลงทุนในต่างประเทศ จีนยังกลัวและขาดหลายอย่าง การมีแบงก์ที่รู้จักก็ช่วยได้มาก ซึ่งไอซีบีซีมีความตั้งใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เห็นได้จากวันที่ประธานไอซีบีซีมาเปิดตัวในประเทศไทย มีนักธุรกิจจีนระดับใหญ่ๆ 100 คนเดินทางมาด้วย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะต้องการขยายการลงทุนจริงๆ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีบริษัทใหญ่ของจีนมาลงทุนในแล้ว 23 ราย
“ต้องยอมรับว่าคนจีนไม่ชอบการเมืองที่ไม่ค่อยนิ่ง แต่สิ่งที่ผมจะบอกเขาก็คือการเมืองไม่นิ่งก็ทำธุรกิจได้ ถ้าดูประวัติไทยก็จะเห็นว่าช่วงที่เศรษฐกิจดี การเมืองก็ไม่ได้นิ่งเท่าไหร่ ดังนั้น 2 อย่างนี้จึงควรแยกกัน” ที่ปรึกษาซีอีโอกสิกรไทยระบุ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อเศรษฐกิจที่ร้อนแรงของจีนก็คือ เงินเฟ้อและเครดิตสินเชื่อที่มีมาก อาจทำให้จีนมีปัญหา
“แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเส้นแดง ผมคิดว่าเป็นแค่เส้นเหลือง โดยส่วนที่ดีคือรัฐบาลจีนเขาเคลียร์ได้ แม้จะมีอะไรมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็ถือว่ารัฐบาลจีนเห็นปัญหา” โจ ฮอร์น ระบุ
ขณะนี้แบงก์พาณิชย์จีนจึงสกรีนลูกค้ามากขึ้น แต่ไม่ถึงมากนัก โดยเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่อยากให้เพิ่มเงินกู้มาก จะมีการคุมไว้ว่าต่อเดือนหรือต่อปีเท่าไหร่ ที่ผ่านมาลูกค้าบางคนมาขอกู้เงินเพื่อสร้างบ้านอยู่คนเดียว 1,000 ตารางเมตร ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจำเป็นต้องสร้างใหญ่ขนาดนั้นเพื่ออะไร
นอกจากนั้น ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา แบงก์จีนมีการปล่อยเครดิตแบบปลอดหลักประกันหรือ “คลีนโลน” มากขึ้น จากเดิมจะปล่อยให้บริษัทเอกชน หรือวงเงินก้อนใหญ่ ตอนนี้ก็หันมาให้เอสเอ็มอีและรายย่อยมากขึ้น
“การตรวจสอบเครดิตของแบงก์จีน ขณะนี้ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่เท่ากับแบงก์ไทยที่ดีที่สุด”โจ ฮอร์น ระบุ
มุมมองการลงทุนไทยจีนในสายตาของโจฮอร์น น่าจะทำให้หลายคนหันมาศึกษาข้อมูลในการตะลุยแดนมังกรมากขึ้น


