posttoday

ตลาดค้าส่งเยอรมันนี จุดโปรโมทอาหาร-ผักผลไม้

23 มีนาคม 2554

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปเมืองสตุตการ์ต เมืองแหล่งกำเนิดรถเบนซ์ของเยอรมนี

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปเมืองสตุตการ์ต เมืองแหล่งกำเนิดรถเบนซ์ของเยอรมนี

โดย...พงค์พันธ์ เพ็งเพา

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปเมืองสตุตการ์ต เมืองแหล่งกำเนิดรถเบนซ์ของเยอรมนี ซึ่งอยู่ติดกับสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อไปร่วมงานโปรโมชันอาหารและผลไม้ไทยของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ที่ตลาดค้าส่งผักผลไม้ไม้ดอกไม้ประดับ (เปิดตั้งแต่ตี 3 คล้ายตลาดสี่มุมเมืองบ้านเรา อย่าง ตลาดไท) ไปสาธิตการทำอาหารไทยง่ายๆ 23 อย่าง ให้ผู้ค้าส่งชิม อย่างเช่น แกงเขียวหวาน ต้มยำเห็ด กระเจี๊ยบเขียวข้าวโพดอ่อนชุบแป้งทอดกินกับน้ำจิ้มหวาน เครื่องดื่มร้อนๆ ทำจากขิงและตะไคร้ เป็นต้น

ผลไม้ก็นำมะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงมัน เงาะ มังคุด ลองกอง ไปให้ชิม บางชนิดต้องสาธิตวิธีกิน วิธีแกะด้วย ทั้ง เงาะมังคุดลองกอง เพราะคนเมืองหนาวยังไม่ค่อยรู้จักผลไม้เมืองร้อนของไทย

แต่ในหลายๆ เมืองสำคัญ “เงาะ” จะเป็นที่รู้จักมากที่สุด ส่วนมังคุดมีแนวโน้มว่าน่าสนใจ ทั้งสองชนิดนี้มีวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ ที่มีสาขาทั่วเยอรมนี คล้ายโลตัส เช่น เมโทร (Metro) เรเว (Rewe) แล้วก็ร้านชาวเอเชียทั้งหลาย ที่เรียกว่า “เอเชียช็อป” ปรากฏว่ามีคนสนใจมาชิมชมคึกคักหนาตา โดยเฉพาะแกงเขียวหวานไก่ราดข้าวหอมมะลิที่เตรียมมาสำหรับ 200 กระทงใบตอง (เท่าถ้วยของหวานทั่วไป) แทบเกลี้ยงแบบน่าปลื้มใจเลยทีเดียว

งานนี้เป็นการร่วมมือกับผู้นำเข้าของเยอรมนีที่เขานำเข้าสินค้าไทย โดยให้เขาเป็นผู้หาสถานที่ที่มีโอกาสที่ลูกค้าจะสนใจในตลาดค้าปลีกค้าส่งที่เรียกว่า Grossmarkt ของเมืองต่างๆ แล้วประชาสัมพันธ์ว่าวันไหน เวลาใด จะมีการมาสาธิตการทำอาหารไทย นำผลไม้ไทยมาให้ชิมฟรี มีแกะสลักผลไม้ แสดงให้เห็นถึงความประณีตวิจิตรละเอียดลออของคนไทย ศิลปะไทย ซึ่งจะส่งผลไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศ กระตุ้นให้คนต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้น เป็นผลทางอ้อมที่เชื่อมโยงกันระหว่างสินค้าวัฒนธรรมการท่องเที่ยว

สิ่งที่ได้เห็นประจำไม่ว่างานไหน เมื่อคนเยอรมันมาเห็นการแกะสลักผลไม้ ที่ส่วนใหญ่ใช้แตงโม ฟักทอง จะเห็นคนจำนวนมากมาชื่นชมและเสียเวลากับการก้มไปดูซ้ายทีขวาทีอย่างใกล้ชิด พร้อมกับถ่ายรูปไว้ด้วยความทึ่งพร้อมคำอุทานภาษาเยอรมันเสมอๆว่า "วุ้นแดร์บาร์ (มหัศจรรย์, วิเศษ)" หรือ "ซูเพอร์(สุดยอด)" พรั่งพรูมากับคำถามด้วยความอยากรู้อยากทำเป็นบ้างอะไรทำนองนั้น

การไปสาธิตทำอาหารไทยให้คนต่างชาติชิม ต้องคำนึงถึงว่า ทำไม่ยุ่งยาก มีวัตถุดิบส่วนผสมของไทยเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมด หากคนเยอรมันติดใจจะหาซื้อมาประกอบอาหารได้ไม่ยากนัก เช่น แกงเขียวหวานไก่หรือหมู เครื่องปรุงเป็นของไทยอย่างมะเขือพวง มะเขือเปราะ กะทิสด น้ำปลา ซอส ตะไคร้ พริกแกง ใบโหระพา ส่วนไก่หรือหมูเป็นได้ทั้งของท้องถิ่นหรือของไทย รับประทานกับ “ข้าวหอมมะลิไทย”

ผลได้ที่จะตามมาเมื่อคนที่นี่รู้จักและหันมากินอาหารไทยมากขึ้นก็คือ สินค้าวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบถูกสั่งเข้าจากไทย

ดังนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้ายในต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่เกษตรกรไทยผู้ปลูกพืช พ่อค้าส่ง ผู้ส่งออก ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ (ขนส่ง โกดัง บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ) ผู้นำเข้าสินค้าไทยในเยอรมนี โกดัง โลจิสติกส์ ผู้ค้าส่งค้าปลีก ผู้บริโภคคนสุดท้ายได้กินอาหารไทยที่มีรสชาติถูกปากอย่างมีความสุข ถ้าเป็นหนังไทยก็จะเรียกว่าจบสวยอย่างมีความสุข หรือ “แฮปปี้เอนดิง” นั่นเอง

นอกจากนี้ ร้านอาหารไทยที่เปิดร้านทำมาหากินในเยอรมนีก็พลอยได้รับอานิสงส์โดยตรง มีลูกค้าต่างชาติเข้าไปลิ้มลองอาหารไทยเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะการไปทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อสินค้าไทยจากภาคราชการของกรมส่งเสริมการส่งออก ภายใต้การดำเนินงานโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครแฟรงค์เฟิร์ต นั่นเอง

สิ่งเหล่านี้คือความพยายามหลายๆ ทางของผู้ที่ทำงานในต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่หาตลาดและส่งเสริมการขายสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แม้ว่าจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 2 ตี 3 ให้ทันการเปิดตลาด ซึ่งในบางครั้งต้องผจญและทนอากาศหนาวเย็นกับอุณหภูมิ 9-11 องศาเซลเซียสก็ตาม แต่นั่นก็เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดแก่ประเทศไทย คำว่า “ทำเพื่อชาติจึงดังก้องอยู่ในใจเสมอ”

สำหรับผลไม้ไทยที่นำไปส่งเสริมและสาธิตวิธีกินให้คนเมืองหนาวชิม เหตุที่เลือก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงมัน มังคุด เงาะ และลองกอง เนื่องจากผลไม้เหล่านี้ในเมืองไทยจะล้นตลาดแทบทุกปี หากสามารถทำให้ชาวเยอรมันหรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเยอรมนีได้ลิ้มลองและติดใจในรสชาติแล้ว อาจเป็นหนทางหนึ่งในการระบายสินค้าออก

การสาธิตวิธีการแกะและการกินผลไม้ไทย หากทำในเมืองไทยก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเลย หลายๆ คนอาจว่า “บ้าหรือเปล่า?” แต่ในต่างชาติที่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาเลยเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น

มะม่วงสุก คนไทยค่อยๆ ใช้มีดฝานเปลือกออก แล้วจึงปาดเนื้อออกมาอย่างสวยงามก่อนกิน คนเยอรมันคงจะไม่ทันใจ จึงนิยมใช้มีดปาดทั้งเปลือกจากขั้วให้ชิดเมล็ดให้ได้ทั้งเนื้อและเปลือก เหมือนผ่าครึ่ง แล้วใช้ช้อนคว้านเนื้อกิน ส่วนมะม่วงมันยังดิบและแข็งอยู่ สามารถใช้มีดทั่วไปฝานเปลือก หรือมีดสำหรับปอกผักผลไม้โดยเฉพาะได้สบาย

มังคุด เนื่องจากไม่ค่อยคุ้นหน้าตาเท่าไร ก็ใช้ 2 วิธี คือ ใช้มีดผ่ารอบข้างแล้วเอาเปลือกออกจึงกิน หรือใช้นิ้วหัวแม่มือบีบกดตรงก้นผลให้แตกจึงบิออกมากิน การกินต้องคอยบอกว่าหากเมล็ดกลีบไหนใหญ่ก็ คายออกมา ถ้าเล็กก็เคี้ยวกลืนได้ (บางครั้งก็กลัวเขากลืนเม็ดใหญ่แล้วไปติดคอแล้วเป็นเรื่องใหญ่แน่ เพราะในเมืองไทยมีข่าวทำนองนี้เกิดขึ้นเหมือนกันในฤดูผลผลิตออก โดยเฉพาะกับเด็กๆ)

เงาะ ใช้มีดผ่ารอบผล ใช้ทั้งมือซ้ายขวาจับผล แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งจิกที่เปลือกแล้วแกะออกมา เมื่อแกะได้ก็ต้องรีบบอกวิธีกินว่าให้กินแต่เนื้อรอบๆ เมล็ดเท่านั้น บางครั้งบอกไม่ทันเขาเอาใส่ปากเคี้ยวไปทั้งเมล็ด มันก็ขม

ลองกอง วิธีแกะง่ายมาก ใช้มือปอกเปลือกแล้วก็กินได้เลย แต่บางครั้งมีกลีบใหญ่เมล็ดก็ใหญ่ตาม ถ้าคนไทยซึ่งคุ้นเคยจะกลืนหลังจากดูดเคี้ยวเนื้อหมด (เพราะรู้จักวิธีกิน) ส่วนคนเยอรมันยังไม่คุ้นไม่ค่อยรู้จักก็อาจจะเคี้ยวเมล็ด ซึ่งมีความขมปนอยู่ ก็จะทำให้รสชาติหวานอร่อยน้อยลง ซึ่งก็จะมีผลติดตามมาในเชิงลบได้เช่นเดียวกันกับเงาะ

สรุปแล้วการเปิดตลาดสินค้าอาหารใหม่ๆ รวมทั้งผักผลไม้กับประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์หลากหลาย แม้แต่วิธี “กินให้เป็น” ที่เป็นสิ่งง่ายๆ ของคนไทยที่อาจจะเรียกได้ว่ากินเป็นตั้งแต่อยู่ในท้องก็ว่าได้ กลายมาเป็นของยากเมื่อไทยต้องการขายสินค้านี้ให้ชาวโลกเพื่อทำรายได้เข้าประเทศ

ผู้นำเข้าชาวเยอรมันที่นำเข้าสินค้าไทย ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า มะม่วงน้ำดอกไม้สุกของไทยเป็นที่นิยมชมชอบของชาวยุโรปมาก เพราะรสชาติหวานหอมกว่ามะม่วงของบราซิล เปรู หรือปากีสถาน แต่ปริมาณการนำเข้ามะม่วงของไทยยังน้อยกว่ามาก ของไทยนำเข้ามาครั้งละไม่กี่กล่อง (โฟม) แต่ของเขานำเข้ามาทีละหลายตัน เนื่องจากสนนราคาสู้เขาไม่ได้นั่นเอง

มะม่วงน้ำดอกไม้สุกของไทยราคาแพงกว่า 2-3 เท่า ราคาลูกละ 3-5 ยูโร แต่มะม่วงบราซิลหรือปากีสถานลูกละ 1-2 ยูโร เพราะต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ของไทยสูงนั่นเอง และจากที่ได้เห็นสินค้ามะม่วงไทยที่ส่งมาบางกล่องยังแข็งอยู่ ชิมแล้วเปรี้ยว เรียกว่ากินไม่ได้เลย หลายๆ ลูกที่สุกก็มีจุดดำช้ำยางไหลติดทั่วผล ทำให้ไม่น่ากิน เรื่องนี้ผู้ส่งออกไทยต้องคำนึงถึงมากๆ หากต้องการขายสินค้าได้ล็อตต่อๆ ไปต้องรักษาคุณภาพให้ดีให้ได้ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่ออนาคตในเชิงลบแน่นอน

ในส่วนของเงาะ เท่าที่สำรวจราคาที่เยอรมนีอยู่ที่ 400-410 บาท/กก. (เกือบ 10 ยูโร/กก.) แต่ส่วนใหญ่เขาจะแบ่งขายเป็นแพ็กเล็กๆ ราคา 160-164 บาท (400-500 กรัม) นับได้ประมาณ 10-12 ลูก นับว่าราคาดีทีเดียว แต่ปัญหาคือเงาะค่อนข้างอ่อนไหวต่อสภาพอากาศและเปลือกดำง่าย หรือบางครั้งเหมือนยังไม่สุกพอที่จะเก็บเกี่ยว จึงมีรสชาติออกเปรี้ยวและเนื้อติดเมล็ด ไม่ล่อน

ผู้ส่งออกไทยจึงควรคัดเลือกแต่ของคุณภาพดีๆ มาส่งออก เพื่อสร้างและรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้าไทยไว้ให้เป็นที่ยอมรับ

ผู้นำเข้าของเยอรมนีรายนี้ยังชี้ให้เห็นว่า บรรจุภัณฑ์ของไทยยังไม่ดี เพราะยังใช้กล่องโฟมอยู่ ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในขณะที่สินค้าชาติอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งใช้กล่องกระดาษบรรจุภัณฑ์อย่างดี

ทั้งหมดนี้ก็หวังว่าผู้ประกอบการไทยจะได้นำข้อมูลไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจต่อไป ประเทศไทยจะได้มีตลาดเพิ่มขึ้นและแข่งขันกับนานาชาติได้

 

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต