สมศักดิ์ ธนกิจวัฒนา กรรมการผู้จัดการบริษัท เมสโปร (1989)
....เจียรนัย อุตะมะ
“
สมศักดิ์ ธนกิจวัฒนา” กรรมการผู้จัดการบริษัท เมสโปร (1989) วัย 54 ปี บริษัทนี้รับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร คาดว่าจะขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรกปลายเดือน ก.พ.นี้ ก่อนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในเดือน มี.ค. 2554เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทนี้และบริหารจนเติบโตมาด้วยมือของตัวเองจากทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1 ล้านบาท จนปัจจุบัน 80 ล้านบาท (เรียกชำระแล้ว 60 ล้านบาท) ด้วยพื้นฐานที่คลุกคลีอยู่กับงานรับเหมาก่อสร้างมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน
“
สมศักดิ์” เริ่มการทำงานตั้งแต่สมัยเรียน โดยหลังจบการศึกษาระดับ ปวส.ช่างยนต์ ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ และเข้าเรียนต่อปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทเวศร์(ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตเทเวศร์) ได้ทำงานที่บริษัท ยูที เอนจิเนียริ่ง ควบคู่ไปด้วย โดยรับหน้าที่เป็นช่างเขียนแบบช่วยวิศวกรออกแบบจนกระทั่งเรียนจบและทำงานที่นั่นเป็นวิศวกร ใช้เวลาทำงานและหาประสบการณ์นานนับ 6 ปี ก่อนจะออกมาอยู่ที่ บริษัท สินศักดิ์ ไฮเทคแอนด์เซอร์วิส เป็นผู้จัดการแผนกวิศวกรรม จึงได้ประสบการณ์งานรับเหมาก่อสร้างงานระบบจากที่นี่ ใช้เวลา 3 ปีจึงตัดสินใจร่วมกับเพื่อนออกมาตั้งบริษัท เอ็มอีเอสเอนจิเนียริง รับเหมาก่อสร้างงานระบบ โดยร่วมหุ้นกันคนละ 1 หมื่นบาทกับเพื่อนอีก 2 คนความที่เป็นมือใหม่ออกมามีกิจการของตนเอง แม้ว่าเป็นช่วงปี 25302534 ที่เศรษฐกิจกำลังขาขึ้นแต่ความที่ยังไม่มีประสบการณ์ในฐานะเจ้าของกิจการทำให้ล้มลุกคลุกคลานในที่สุดจึงปิดกิจการไปและเปิดบริษัทใหม่ชื่อว่า บริษัท เอ็มอีเอส อิควิพเม้นท์ ปี 2534 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ตั้งแต่นั้นมากิจการได้รุ่งเรืองมาโดยตลอด
ปัจจุบันเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งบริษัทมาคือ
“ประสิทธิพร วิริยะประพันธ์” เป็นผู้อำนวยการสายงานวิศวกรรม และ “สุริยัน อารีสินพิทักษ์” เป็นผู้อำนวยการสายงานบริหารทั่วไปเริ่มแรกการก่อตั้งบริษัทให้บริการเฉพาะงานติดตั้งงานวิศวกรรมงานระบบภายในอาคาร อาทิ ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารโทรคมนาคม งานระบบปรับอากาศ ระบบสุขาภิบาลลุงานระบบป้องกันอัคคีภัย
ปี 2544 เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เมสโปร (1989) และปี 2549 ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจไปสู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบโครงสร้าง สถาปัตยกรรม งานก่อสร้างระบบภายในอาคารโดยกลุ่มลูกค้ามีทั้งภาครัฐและเอกชน งานก่อสร้างมีทั้งอาคารสูง ที่พักอาศัย โรงแรม รีสอร์ต โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
เดิมลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเอกชน แต่ปัจจุบันเริ่มขยายสู่ภาครัฐโดย 9 เดือนแรกปี 2553 รับเหมาก่อสร้างงานภาครัฐถึง 60%
เมื่อการดำเนินธุรกิจเติบโตมาอย่างต่อเนื่องจึงต้องการระดมทุน โดยปัจจุบันหนี้สินต่อทุนของบริษัทประมาณ 1 เท่า หากเรียกชำระหุ้นเพิ่มทุนจาก 60 ล้านบาทเป็น 80 ล้านบาท พาร์หุ้นละ 0.25 บาท จะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดต่ำกว่า 1 เท่า
การขายหุ้นเพิ่มทุนเข้าตลาดเอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่มีระยะเวลาห้ามขาย 1 ปี
สำหรับผลงานของบริษัท 9 เดือนแรกปี 2553 ที่ผ่านมา บริษัทนี้มีรายได้ 133 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.16 ล้านบาท เทียบปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นไปตามวงจรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
“
สมศักดิ์” กล่าวว่า มูลค่างานในมือสิ้น ก.ย. 2553 มี 362 ล้านบาทที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้ในภาวะที่เศรษฐกิจขาขึ้นและภาครัฐมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่จะทำให้การลงทุนภาคเอกชนกระเตื้อง
“สมศักดิ์” เชื่อว่าจะเป็นโอกาสเติบโตของบริษัทยามว่างของชายคนนี้ เขาชอบอ่านหนังสือศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการบริหารจัดการ ด้วยความที่ลูกๆ ของเขาโตหมดแล้ว โดยลูกสาวคนโตวัย 26 ปี จบปริญญาโทบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยรังสิต ลูกชายคนเล็กวัย 24 ปี กำลังจะเรียนต่อปริญญาโท หลังจบบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สำหรับตัวเขาเองตอนนี้ได้ปริญญาโทบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาครอบครองอีกใบเมื่อปี 2551
“
ผมแต่งงานเมื่ออายุ 28 ปี ตอนนั้นเป็นลูกจ้าง คิดว่าจะหยุดสำมะเลเทเมา ตั้งเนื้อตั้งตัว”

