ธปท. เร่งยกระดับคุมร้านทอง พบ Paper Trade รายใหญ่ สูง 50% ของ GDP ดันบาทแข็ง
ธปท. เร่งยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจร้านทอง หลังพบธุรกรรม Paper Trade รายใหญ่ 3-4 ราย สูง 50% ของ GDP กระทบค่าเงินบาท เล็งนำกฎหมาย “Travel Rule” คุมสกุลเงินดิจิทัล
KEY
POINTS
- ธปท. พบว่าการซื้อขายทองคำในรูปแบบ Paper Trade เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ธุรกรรม Paper Trade ของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 3-4 ราย มีมูลค่าสูงมากถึงประมาณ 50% ของ GDP ประเทศ
- ธปท. จึงต้องเร่งยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจร้านทองและการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความจำเป็นในการยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจร้านทองและการซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันอย่างเร่งด่วน ภายหลังหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันต่อค่าเงินบาท ซึ่งมาจากการไหลเข้าของเงินทุน และปริมาณธุรกรรมการซื้อขายทองคำที่สูงเป็นพิเศษ จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยพื้นฐานที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาท
ธปท. ยอมรับว่าได้เข้าไปดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในทุกวัน ซึ่งมี 2-3 ปัจจัย ที่เข้ามากระทบค่าเงินบาท ประการแรกคือ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงถึง 10% ในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อค่าเงินของทุกประเทศแตกต่างกันไป ประการที่สองคือ ดุลบัญชีเดินสะพัด ที่เป็นบวกมากกว่าปกติ ซึ่งแม้ในช่วงนี้จะชะลอลงแต่ก็ยังคงเป็นบวกอยู่ โดยดุลบัญชีเดินสะพัดนี้มาจากทั้งกระแสเงินทุน (Flow) และยอดดุลการค้า (Trade Balance) ซึ่งเป็นส่วนที่ยากต่อการควบคุม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากกระแสเงินทุนต่างชาติ (Non-resident) ที่เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว กระแสเงินทุนที่ไหลเข้ายังทำให้ค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์กับทองคำ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นไปแล้วถึง 5%
ข้อจำกัดในการแทรกแซงค่าเงินโดยตรง
แม้ค่าเงินบาทจะมีแรงกดดัน แต่ ธปท. มีข้อจำกัดสำคัญในการเข้าแทรกแซงโดยตรง เนื่องจากมีข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และในยุคทรัมป์ ด้วยข้อตกลงนี้ ธปท. ไม่สามารถเข้าแทรกแซงค่าเงินในลักษณะที่ตรึงค่าเงินหรือทำให้ทิศทางของค่าเงินเปลี่ยนไปได้อย่างชัดเจน
Paper Trade ทองคำ สูง 50% ของ GDP
ธุรกิจทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำในรูปแบบ Paper Trade พบว่าธุรกรรมรูปแบบดังกล่าวของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 3-4 ราย มีมูลค่าสูงมากถึงประมาณ 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปริมาณธุรกรรมมหาศาลนี้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ธุรกิจทองคำจะต้องมีหน่วยงานเข้ามาควบคุม การทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำจะต้องมีการตรวจสอบโดยทันที และต้องมีการป้องปราบ นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ขอให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารและแสดงแหล่งที่มาของเงินทุนให้รัดกุมยิ่งขึ้น
นำกฎหมาย “Travel Rule” ดูแลสกุลเงินดิจิทัล
นอกเหนือจากธุรกิจทองคำแล้ว สกุลเงินดิจิทัล ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ต้องมีการดูแล ในปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีข้อจำกัดในการดูแลเรื่องนี้
สิ่งที่ ธปท. ต้องการคือการนำกฎหมายที่เรียกว่า “Travel Rule” มาใช้ ซึ่งการนำกฎหมายนี้มาใช้นั้น จำเป็นต้องอาศัยกฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้สามารถตรวจสอบและเห็นได้ว่าเงินคริปโทฯ (เช่น USDT) มีแหล่งที่มาต้นทางจากไหน การตรวจสอบแหล่งที่มานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถแยกแยะได้ว่าเงินที่เข้ามานั้นเป็น เงินเทา เงินดี หรือเงินไม่พึงประสงค์
ย้ำความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า ธปท. ไม่สามารถดำเนินการเรื่องเหล่านี้ได้เพียงลำพัง เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าจากหลากหลายช่องทาง แม้ว่าประเทศไทยจะยังคงเสรีในการนำเงินดอลลาร์เข้ามา แต่ก็ต้องมีการขอตรวจสอบเอกสาร ดังนั้น การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันนี้ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


