อัปเดตปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ไทยย้ำป้องกันตนเอง–4 แสนคนอพยพ
ไทยย้ำยืนหลักป้องกันตนเอง–คุ้มกอครองพลเรือนก่อน หลังเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา กระทบมีผู้อพยพกว่า 4 แสนคน ขณะกองทัพ–สตช.–มหาดไทยระดมกำลังเฝ้าระวังใกล้ชิด
KEY
POINTS
- ไทยยืนยันจุดยืนในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองและปกป้องอธิปไตย โดยจำกัดการโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารตามกฎหมายระหว่างประเทศ
- สถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ โดยเป้าหมายของไทยคือการลดศักยภาพของกองกำลังกัมพูชาเพื่อป้องกันการโจมตีซ้ำ
- ผลกระทบจากการปะทะทำให้ประชาชนกว่า 400,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง และหลายหน่วยงานต้องระดมกำลังเข้าช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชานำเสนอภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด พร้อมย้ำว่าทุกการเคลื่อนไหวของไทยตั้งอยู่บนเป้าหมายเดียว การปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน ไม่ใช่การเปิดฉากโจมตี ตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างก่อนหน้านี้ การแถลงข่าวต่อไปจะมีผู้แทนกองทัพ สตช. และกระทรวงการต่างประเทศขึ้นชี้แจงรายละเอียดโดยตรง เพื่อให้ข้อมูลครบชัดเจนที่สุดต่อสาธารณะ
จุดยืนของไทยถูกวางไว้ 5 ประการสำคัญ ได้แก่ ไม่เป็นฝ่ายเริ่มการรุกราน กระทำเพื่อการป้องกันตนเอง เคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น และเน้นให้พลเรือนปลอดภัยสูงสุด ก่อนยืนยันอีกครั้งว่าไทยรักสันติภาพ แต่จะไม่ปล่อยให้ใครละเมิดอธิปไตยโดยไม่ตอบโต้ การใช้กำลังทุกครั้งถูกควบคุมตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐอย่างชัดเจน
กองทัพไทยเน้นว่ารูปแบบปฏิบัติการของไทยแตกต่างจากกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง โดยไทยจำกัดเฉพาะการยิงตอบโต้เป้าหมายทางทหารเท่านั้น ยึดหลักการจำแนกเป้าหมาย (distinction) ไม่ทำร้ายพลเรือน และคำนึงถึงสัดส่วนพลังการใช้กำลัง (proportionality) ทุกครั้ง ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีการยิงกระสุนปืนใหญ่และอาวุธหนักเข้าใกล้พื้นที่ชุมชน ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป้าหมายหลักของไทยในปฏิบัติการครั้งนี้ คือการกดลดศักยภาพกองกำลังกัมพูชาไม่ให้สามารถโจมตีพื้นที่ไทยได้อีก โดยยังจำกัดระดับการใช้กำลังให้อยู่ในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ การตอบโต้นั้นมุ่งทำลายขีดความสามารถเชิงยุทธวิธี ไม่มุ่งยกระดับความรุนแรงหรือขยายสมรภูมิ เนื่องจากไทยยังต้องการรักษาบรรยากาศที่นำไปสู่การเจรจาและสันติภาพระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การปะทะตามแนวชายแดน 7 จังหวัดในช่วงหลายวันที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง บ้านเรือนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพจากพื้นที่เสี่ยง ส่วนโรงเรียนเกือบ 700 แห่งต้องหยุดสอนอย่างกะทันหัน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเด็กและครอบครัวจำนวนมาก รัฐต้องระดมทุกหน่วยงานเข้าสนับสนุนทหารที่อยู่แนวหน้า เพื่อดูแลด้านมนุษยธรรมควบคู่ไปด้วย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของประชาชนที่จำเป็นต้องอพยพออกมา โดยจัดกำลังตรึงพื้นที่ชุมชน ป้องกันการโจรกรรม และช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงในบ้านที่ไม่สามารถขนย้ายออกมาได้ ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบการจัดการศูนย์พักพิง การกระจายอาหาร-น้ำดื่ม และการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขส่งทีมแพทย์-พยาบาลเข้าดูแลผู้บาดเจ็บและประชาชนในศูนย์อพยพเป็นการเร่งด่วน
แม้ในบางช่วงเสียงปืนจะเงียบลง แต่กองทัพยอมรับว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนยังมีการปะทะประปรายเป็นระยะ การเคลื่อนไหวของกองกำลังกัมพูชายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจุดเสี่ยงสำคัญที่เคยเกิดการยิงปะทะหนักก่อนหน้านี้ หน่วยข่าวกรองกำลังประเมินความเป็นไปได้ของการเปิดฉากโจมตีอีกระลอก เพื่อเตรียมแผนคุ้มครองประชาชนล่วงหน้าในทุกพื้นที่
ตัวเลขกำลังพลไทยที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตยังไม่สามารถยืนยันเป็นทางการได้ เนื่องจากข้อมูลจากหน่วยปฏิบัติการแนวหน้าต้องตรวจสอบซ้ำให้ชัดเจนก่อนจะรายงานต่อสาธารณะ โดยศูนย์แถลงข่าวร่วมระบุว่าต้องการหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนซึ่งอาจกระทบต่อภาพรวมของสถานการณ์ รวมถึงกระบวนการเจรจาระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในลำดับต่อไป
ท่ามกลางความไม่แน่นอน ไทยยังคงประกาศจุดยืนเดิม ยึดสันติภาพแต่พร้อมปกป้องอธิปไตยอย่างถึงที่สุด ขณะที่ภารกิจด้านมนุษยธรรมยังเดินหน้าต่อเนื่อง การอพยพกว่า 400,000 ชีวิตคือความท้าทายที่รัฐต้องรับมือให้เร็วและแม่นยำที่สุด การประสานงานของกองทัพ ตำรวจ มหาดไทย และสาธารณสุขจึงเป็นหัวใจหลักของการรักษาชีวิตประชาชนในช่วงเวลาที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย


