ครม.ศก.เห็นชอบหลักการ แผนกระตุ้นออมผ่าน TISA–ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบ./ปี
ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบ 3 มาตรการกระตุ้นการออม เปิดบัญชี TISA ลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท หนุนผู้มีรายได้ต่ำออมได้ 1.3 เท่า พร้อมออกพันธบัตรออม Plus และยกเว้นอากรประกันรายย่อย ขยายโอกาสออมรองรับสังคมผู้สูงอายุ
KEY
POINTS
- ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีกองทุนรวมใหม่ โดยปรับเพิ่มเพดานการหักลดหย่อนสูงสุดเป็น 800,000 บาทต่อปี
- กำหนดเงื่อนไขการลดหย่อนตามฐานรายได้ โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/ปี จะหักลดหย่อนได้ 1.3 เท่าของเงินลงทุน ส่วนผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท/ปี จะหักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า
- มาตรการนี้ครอบคลุมกองทุน RMF, SSF, Thai ESG และบัญชี T-ISA พร้อมยกเว้นภาษีดอกเบี้ยและเงินปันผลในวงเงิน 200,000 บาทแรก
วันนี้ (8 ธ.ค. 2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบมาตรการ “เสาหลักที่ 5” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล โดยมีหัวใจสำคัญคือการจัดทำบัญชีการออมส่วนบุคคล (Thailand Individual Saving Account: TISA)
มาตรการนี้มุ่งส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม เช่น RMF หรือ PVD พร้อมยกระดับระบบการออมของประเทศ รองรับสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบที่จะมาถึงในไม่กี่ปีข้างหน้า ทั้งยังเป็นการปรับโครงสร้างแรงจูงใจด้านภาษีครั้งใหญ่ โดยเพิ่มเพดานลดหย่อนและยกเว้นภาษีเพื่อดึงเงินออมเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น แบ่งเป็น 3 มาตรการสำคัญ ดังนี้
1. เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเป็น 800,000 บาท
พร้อมกำหนดให้เป็นมาตรการถาวร ไม่ต้องต่ออายุมาตรการปีต่อปี ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท/ปี ได้รับสิทธิลดหย่อนเพิ่มขึ้นในอัตราออมได้ 1.3 เท่า
“ประชาชน 11.7 ล้านคนที่อยู่ในระบบภาษีจะได้ประโยชน์จากส่วนนี้ รองรับสังคมผู้สูงอายุ ระดมทุนสู่ตลาดได้มากขึ้น ยิงนกครั้งเดียวได้นกหลายตัว และยกเว้นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินลงทุน 200,000 บาทแรก แต่ต้องถือครองสินทรัพย์เกิน 5 ปี” นายเอกนิติกล่าว
2. โครงการ “ออม Plus”
เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนที่มั่นคงผ่านพันธบัตรรัฐบาล เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ตามราคาตลาด ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางสามารถเริ่มต้นออมได้ง่ายขึ้น
3. ยกเว้นอากรประกันรายย่อย
ทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตัดสินใจซื้อความคุ้มครองด้านความเสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ นายเอกนิติยังระบุว่า มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” และโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ยังไม่ได้ถูกหยิบยกเข้าหารือในที่ประชุมครม.เศรษฐกิจในครั้งนี้


